สมาคมผู้เลี้ยงสุกรโอดคราญ จี้รัฐเร่งปราบ “หมูเถื่อน” หลังทุบราคาเบียดเกษตรกรจนตรอก



  • ชี้มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ดั๊มพ์ราคาต่ำกว่าต้นทุนผลิตที่แท้จริง
  • ขายปลีกเฉลี่ยอยู่ที่ 135-145 บาทต่อ กก. บิดเบือนกลไกราคาในประเทศ
  • ชี้ปิดโอกาสเกษตรกรรายย่อยฟื้นฟูการเลี้ยงต้องออกจากอาชีพ
  • ย้ำเตือนหากรัฐนิ่งนอนใจ อาจเจอปัญหาหมูล้นตลาด ราคาตกต่ำช่วงปลายปีนี้

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากมีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมาจำหน่าย โดยแม้จะมีการเรียกร้องให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งกรมศุลกากรและกรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการ แต่การปราบปรามและจับกุมยังไม่ดำเนินการอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ทำให้ขบวนการลักลอบนำเข้าไม่เกรงกลัว ทั้งยังมีการลักลอบนำเข้ามาในหลายรูปแบบและมีการทำการตลาดทั้งแบบออนไลน์และขายหน้าร้าน โดยมีราคาขายปลีกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 135-145 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคาในประเทศอย่างมาก

“หากภาครัฐปล่อยให้หมูลักลอบนำเข้าเพิ่มมากขึ้นทุกภาค และวางจำหน่ายกันอย่างเปิดเผย ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย ภายในระยะเวลา 18 เดือน ผู้เลี้ยงรายย่อยและรายเล็กไม่รอดแน่ เพราะทุกคนมีภาระต้องกู้เงินมาฟื้นฟูกิจการถ้าต้องขายหมูขาดทุนจะไปต่อได้อย่างไร รัฐบาลต้องทำทุกวิถีทางให้เกษตรกรมั่นใจ” นายสุรชัย กล่าว

ทั้งนี้ หลังกรมปศุสัตว์ประกาศพบโรคระบาด ASF เป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2565 พร้อมแจงตัวเลขผลผลิตแม่หมูหายไปจากระบบ 50% ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูในประเทศปรับสูงขึ้นตามลำดับ โดยราคาหมูเนื้อแดงขยับขึ้นไปสูงสุดที่กิโลกรัมละ 200 บาท จากราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มที่กิโลกรัมละ 100 บาท ทำให้กลุ่มมิจจาชีพเห็นช่องทางฉวยโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างหมูนำเข้ามีต้นทุนต่ำกว่า และเป็นชิ้นส่วนที่ประเทศต้นทางไม่บริโภค จึงส่งออกมายังไทยในราคาถูก แต่หมู ชิ้นส่วน และเครื่องใน ที่นำเข้าถูกต้องตามกฎหมายต้องผ่านการตรวจโรคและได้รับใบอนุญาตเคลื่อนย้ายซากสัตว์ จากกรมปศุสัตว์ ทำให้ผู้ลักลอบนำเข้าหลบหลีกขั้นตอนดังกล่าว โดยการสำแดงเท็จเป็นอาหารทะเล และสินค้าอื่นๆ แอบแฝงมาในตู้สินค้า

นายสุรชัย กล่าวว่า เมื่อต้นปี 65 ที่ผ่านมา ภาครัฐร่วมมือกันตรวจสต๊อกห้องเย็นเกือบทุกวัน โดยพบหมูผิดกฎหมายจำนวนมาก พอการปราบปรามทิ้งช่วง หมูเถื่อนก็กลับมาอาละวาดอีกครั้ง ที่สำคัญหมูเถื่อนราคาถูก ทุบราคาหมูในประเทศ ล่อใจผู้บริโภคให้ซื้อเนื้อสัตว์ที่ราคาถูกกว่า เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้บริโภคควรรับทราบถึงผลร้ายที่จะตามมาจากการซื้อหมูลักลอบนำเข้าจากพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ว่าเนื้อหมูผิดกฎหมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยสารเร่งเนื้อแดงที่ประเทศต้นทางยังอนุญาตให้ใช้อยู่ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดี กินมากก็สะสมมาก  

“ทางสมาคมฯ เป็นห่วงว่าหากหมูเถื่อนยังคงแพร่หลายและกระจายอยู่ทั่วประเทศแบบนี้ จะกระทบกับผลผลิตหมูของไทยที่จะออกในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ แต่ไม่มีตลาดให้กับหมูไทยแน่นอน ปัญหาหนักตกกับเกษตรกรคือของมีแต่ขายไม่ได้” นายสุรชัย กล่าว 

นายสุรชัย กล่าวด้วยว่า แม้กรมปศุสัตว์จะออกมากวาดล้างอย่างจริงจัง แต่จำนวนที่จับกุมได้ยังคงเป็นส่วนน้อย จึงอยากให้การปราบปรามมีความชัดเจนและต่อเนื่อง หากเป็นไปได้ควรออกตรวจสอบห้องเย็นทุกวัน ซึ่งสมาคมฯพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อปกป้องเกษตรกร เนื่องจากปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงที่เสียหายจากปัญหาASF ได้เริ่มกลับมาเข้าขุนใหม่แล้วกว่า 1 ล้านตัว ดังนั้นก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด ต้องหยุดการลักลอบนำเข้านี้ให้หมด ซึ่งเครือข่ายผู้เลี้ยงสุกรพยายามหาเบาะแสมาตลอด

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันต้นทุนการผลิตสุกรปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงปัจจุบัน จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น มีซัพพลายน้อยกว่าความต้องการ และถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้การเลี้ยงสุกรในปัจจุบัน ผู้เลี้ยงต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงอยู่ที่ 98-101 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายสุกรหน้าฟาร์มต้องให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูแลผู้บริโภคในประเทศ