สบน.ชี้รัฐจำเป็นต้องกู้เงินใช้เยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด เหตุงบประมาณเอาไม่อยู่



  • ยัน! สิ้นปีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 56% ไม่เกินกรอบวินัยการคลัง
  • เผยใช้เงินกู้ไปแค่ 393,761 ล้านบาท

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า  กรณีที่ประชาชนกังวลหนี้สาธารณะของไทยที่มีจำนวนมากถึง 7 ล้านล้านบาท  ขอชี้แจงว่า หนี้สาธารณะประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นดีกว่าเยอะมาก และประเทศไทยบริหารหนี้ค่อนข้างดี  นอกจากนี้ปัจจุบันหนี้ที่เป็นภาระของรัฐบาลอยู่ที่ 40% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เท่านั้น  ส่วนการมีพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ขึ้นก็เพื่อช่วยเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด  ไม่งั้นประเทศไทยจะไม่มีเม็ดเงินในส่วนนี้เลย อย่างไรก็ตามหนี้สาธารณะเป็นเม็ดเงินเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะงบประมาณที่มีอยู่เอาไม่อยู่แล้ว 

“ประชาชนอาจมองว่าตัวเลขหนี้ดูเยอะ แต่ต้องดูว่าขนาดเศรษฐกิจในประเทศใหญ่มากขึ้น และตอนนี้หนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอยู่  โดยหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปี 2564 จะอยู่ที่ 56 % ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขยายกรอบหนี้สาธารณะปรับอะไร ส่วนถ้ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกพ.ร.ก.ใดๆ เพิ่ม หนี้สาธารณะจะอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง ที่กำหนดไว้  60% ของจีดีพี และปัจจุบันเงินในกระเป๋ายังมีอยู่ ทั้งงบกลาง และเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งกู้ไปแล้วกว่า 39% ของงบเงินกู้ทั้งหมด”

อย่างไรก็ตามปัจจุบันเงินกู้ตามพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ข้อมูล ณ วันที่ 22 ม.ค.64 คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงินไปแล้ว 711,607 ล้านบาท โดย สบน.กู้ไปแล้วทั้งสิ้น 393,761 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. แผนงานด้านสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท ครม.อนุมัติกรอบแล้ว 19,698 ล้านบาท ซึ่ง สบน.ตั้งเบิกแล้ว  1,561 ล้านบาท

2. แผนงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ วงเงิน 565,000 ล้านบาท ซึ่งโอนมาจากแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 10,000 ล้านบาท ครม.อนุมัติกรอบแล้ว 558,753 ล้านบาท ตั้งเบิกแล้ว 322,819 ล้านบาท ซึ่งส่วนที่เหลือ 210,200 ล้านบาท จะเป็นเรื่องของโครงการ “เราชนะ” และ 3. แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 390,000 ล้านบาท ครม.อนุมัติกรอบ 133,159 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 48,998 ล้านบาท

“ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้นรัฐบาลยังมีเงินจากพ.ร.ก.กู้เงินเหลืออีก 400,000 ล้านบาท และยังมีงบกลางที่ยังใช้ได้อีก เพราะฉะนั้นเงินยังมีเยอะ ส่วนรัฐบาลจะใช้เงินแบบไหนจะต้องวางกลยุทธ์ให้ดี  ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงบประมาณจะต้องไปบริหารจัดการว่าจะใช้เงินก้อนไหน เพื่ออะไร เช่น ถ้าจะใช้เงินเพื่อเยียวยาจะต้องโอนเงินในส่วนฟื้นฟูโควิดลงมายังส่วนนี้   หรือถ้าคิดว่าหยุดการแพร่ระบาดของโควิดได้ไม่ต้องเยียวยาอีกต่อไปก็ไม่ต้องโอนเงินไปส่วนนั้น ใช้เงินในส่วนฟื้นฟูเศรษฐกิจเลย ซึ่งคิดว่าตอนนี้เร็วเกินไปที่จะตอบอะไร แต่ขอยืนยันว่าเงินในกระเป๋ายังมีอยู่อีกมาก”

สำหรับปีงบประมาณ 2564 มีแผนการก่อหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ 2.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 1.พันธบัตรรัฐบาล คิดเป็นสัดส่วน 36% ของแผนก่อหนี้ วงเงินประมาณ 850,000 ล้านบาท 2.ออกตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) จำนวน 6 เดือน คิดเป็น 22% ของแผนก่อหนี้ วงเงินประมาณ 520,000 ล้านบาท 3.ตั๋วสัญญาใช้เงิน(P/N) และสินเชื่อที่มีระยะเวลา(เทอมโลน) คิดเป็นสัดส่วน 35% ของแผนก่อหนี้ วงเงิน 822,000 ล้านบาท

4.พันธบัตรออมทรัพย์ (Saving Bond) คิดเป็น 5% ของแผนก่อหนี้ วงเงิน 110,000 ล้านบาท และ5.สินเชื่อของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) คิดเป็น 2% ของแผนก่อหนี้ วงเงิน 45,000 ล้านบาท