“ศักดิ์สยาม” เผยนายกฯ เตรียมตัดริบบิ้นเปิดใช้ทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 พร้อมพาชมนวัตกรมยางพารา กับการพัฒนาถนนเมืองไทย



นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในวันที่ 24 ..2563 พล..ประยทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะเดินทางไปเปิดการใช้งานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยาย ช่วงพัทยา – มาบตาพุด อย่างเป็นทางการ โดยด่านทุกด่านพร้อมเปิดให้บริการ ประกอบไปด้วย ด่านห้วยใหญ่ ด่านเขาชีโอน และด่านมาบตาพุด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง และโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณรถมาใช้บริการไม่ต่ำกว่า36,000 คันต่อวัน ลดเวลาการเดินทางจาก มาบตาพุด – พัทยา ด้วยเวลาน้อยกว่า 30 นาที จึงเป็นถนนที่จะสร้างงานสร้างรายได้ ทำเงิน ทำทอง ให้กับพี่น้องประชาชน

โครงการนี้ได้ออกแบบงานระบบตามมาตรฐานทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบระบบปิด คิดอัตราค่าผ่านทางตามระยะทางที่ใช้จริง ประกอบด้วย ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านแบบเงินสด (MTC) และระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบอัตโนมัติ (ETC) ซึ่งในอนาคตสามารถพัฒนาสู่ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) ตลอดสายทาง” นายศักดิ์สยาม กล่าว

ทั้งนี้กรมทางหลวง กำลังดำเนินการส่วนต่อขยาย ถึงสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะมีระยะทางเพิ่มเติมอีกประมาณ 7 กมเพื่อรองรับผู้โดยสารมาใช้บริการที่สนามบินอู่ตะเภาในอนาคต ที่คาดว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มเป็น 60 ล้านคนต่อปี รวมทั้งเติมเต็มโครงข่าย EEC อีกด้วย

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ส่วนในวันที่ 25 .. 2563 หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดระยอง พล..ประยทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปที่ จังหวัดจันทบุรี เพื่อเป็นประธานเปิดการใช้กำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ถือเป็นการปักหมุดโครงการนี้ ในประเทศไทย

ทั้งนี้ จากความร่วมมือระหว่าง กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบท มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ช่วยกันผลิตคิดค้นตามโครงการ นำยางพารามาใช้ในประเทศ จนประสบความสำเร็จ ผ่านการทดสอบของสถาบัน National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ประเทศเกาหลีใต้ ในมาตรฐานระดับโลก สำหรับความปลอดภัยในด้านการจราจร ถือเป็นความสำเร็จของนโยบาย Thai First ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน โดยในพิธีจะมีนิทรรศการเสมือนจริง ในการสาธิต ขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียด ตั้งแต่การผสมยาง การขึ้นแบบ การอบ จนถึงการทาสีอุปกรณ์ทั้ง 2 ชนิด พร้อมรับชมการติดตั้งบนถนนจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่าใช้เวลารวดเร็ว ใช้เพียง 1 ช่องทาง ในการทำงานเท่านั้น

สำหรับโครงการในช่วง 3 ปีแรก จะมีการใช้ยางพาราจำนวนไม่น้อยกว่า 1.007 ล้านตัน เกษตรกรชาวสวนยางพาราจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท และในช่วงปีที่ 3 วัสดุยางพาราจะเสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งาน ในปีต่อไปจึงต้องใช้ยางพารา มาผลิตวัสดุยางพาราใหม่ หมุนเวียนไปทุกๆ ปี ดังนั้นจึงจะทำให้เป็นการสร้างเสถียรภาพยางพาราอย่างยั่งยืน

ครบ 3 ปี จะต้องเปลี่ยน เฉพาะ Rubber Fender 1/3 เพราะ Rubber Fender มีอายุขัยงานกลางแจ้ง ได้ครั้งละ 3 ปี ซึ่งจะทำให้ต้องมีการสร้าง Rubber Fender ทดแทนทุกปี เริ่มจากปี 2566 เป็นต้นไป ซื่งจะต้องใช้น้ำยางดิบ ปีละประมาณ3.5 แสนตัน ในการผลิต Rubber Fender สำหรับ Concrete Barriers เมื่อ ดำเนินการติดตั้งแล้ว สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยทางถนนได้ตลอดไป” รมว.คมนาคม กล่าว

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม ยังได้ค้นพบว่า วัสดุที่ทำจากยางพารา ในแต่ละปี มีการนำไปเผาทิ้งจำนวนมาก เช่นยางรถยนต์ ส่งผลต่อมลภาวะทางอากาศ ก๊าซพิษ และฝุ่นผงจำนวนมาก รวมถึงนำแผ่นยางธรรมชาติหุ้มคอนกรีต (RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP) ที่หมดอายุ โดยมีข้อเสนอให้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่เรียกว่า “การรีไซเคิล ผลิตภัณฑ์จากยางพาราที่ใช้ในการขนส่ง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ” (BCG) มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ เพื่อจะเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษารูปแบบความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ตามทราบข่าวจาก นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ว่าในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางพารา 3 ชนิด  วันที่ 13 .. 2563 ได้แก่ น้ำยางสด ราคา 43 บาท/กิโลกรัม ยางแผ่นดิบ 46.05 บาท/กิโลกรัม ยางแผ่นรมควันชั้น ราคา 48.70 บาท/กิโลกรัม ถือว่าราคายางขยับพุ่งพรวดทุบสถิติในรอบ 8 เดือนโดยมีปัจจัยจากข่าวสารเรื่องที่นายกรัฐมนตรี จะไปเป็นประธานในเปิดโครงการคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ(RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (RGP) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เป็นส่วนประกอบสำคัญ ของราคายางที่จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย