

- เผยมาตรการลดภาษีน้ำมัน ไม่ควรขยายแล้ว
- เพราะราคาน้ำมันตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง
- สายการบินเริ่มกลับมาคึกคักแล้ว
นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงกรณีสมาคมสายการบินประเทศไทย เสนอภาครัฐขยายเวลาการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันออกไปอีก หลังสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า กรมสรรพสามิตได้พิจารณาแล้ว พบว่า มีข้อจำกัดด้านกฎหมาย จึงไม่มีการเสนอมาตรการลดภาษีน้ำมันเครื่องบินในช่วงนี้ ต้องรอให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้พิจารณา โดยระหว่างนี้กรมฯจะศึกษาเรื่องอัตราภาษีที่เหมาะสมเพื่อเตรียมเป็นข้อมูลไว้ก่อน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมสรรพสามิต ได้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน สำหรับเครื่องบินไอพ่น จากอัตรา 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร เป็นเวลากว่า 2 ปี เพื่อต้องการช่วยเหลือ บรรเทาภาระต้นทุนให้แก่สายการบินในช่วงเผชิญวิกฤติล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดโควิด รวมถึงช่วยดูแลค่าครองชีพการแก่ประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่กรมสรรพสามิตไม่ขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันเครื่องบิน นอกจากจะติดขัดข้อจำกัดกฎหมาย ที่รัฐบาลในช่วงรักษาการไม่มีอำนาจอนุมัติมาตรการภาษีแล้ว อีกเหตุผลมองว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการบิน กลับมาฟื้นตัวเต็มที่แล้ว หลังทั่วโลกสิ้นสุดการระบาดโควิดและกลับมาเปิดประเทศเดินทางท่องเที่ยวได้ปกติอีกครั้ง และที่สำคัญที่ผ่านมา แม้สรรพสามิตจะลดภาษีน้ำมันไปแล้ว แต่สายการบินหลายแห่งก็ยังจำหน่ายค่าตั๋วโดยสารแก่ประชาชนราคาแพงอยู่ดี
ส่วนการพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ซึ่งจะสิ้นสุด 20 ก.ค.66 มีความชัดเจนแล้วว่า กระทรวงการคลัง จะไม่เสนอขยายเวลาออกไป เนื่องจากมีการท้วงติงว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่มีอำนาจอนุมัติได้ เพราะขัดต่อแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และควรให้กระทรวงพลังงาน ใช้กลไกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นฝ่ายดูแลแทน ประกอบกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต โดยราคาน้ำมันดิบลดเหลือ 70-76 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล อีกทั้งสถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีภาระหนี้ในส่วนหนี้น้ำมันลดลงเหลือเพียงกว่า 10,000 ล้านบาทเท่านั้น สามารถใช้กลไกลกองทุนฯ เข้าไปดูแลเองได้
อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทั้งน้ำมันไอพ่น และน้ำมันดีเซล จะมีการทำต่อหรือไม่ ต้องรอความชัดเจนนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่อีกครั้ง แต่การใช้มาตรการลดภาษีอย่างต่อเนื่อง จะมีผลเสียต่อการจัดเก็บรายได้ภาพใหญ่ของรัฐบาล รวมถึงการสร้างภาระวินัยการคลังของประเทศในระยะยาวอย่างไม่จำเป็น ซึ่งที่ผ่านมารัฐต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 160,000 ล้านบาทแล้ว แต่จำเป็นต้องดำเนินการ เนื่องจากเป็นช่วงวิกฤตโควิด-19