

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหากล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน แถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ในการค้นหาความจริงกรณีที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ในหัวข้อ “ยุติธรรมกำลังจะกลับมาค้ำจุนชาติ กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท” โดยมีเนื้อหาดังนี้
ยุติธรรมกำลังจะกลับมาค้ำจุนชาติ
“กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท”
ผมเคยเขียนเรื่องคดี “บอส” ว่ายังมีความหวังกับคณะทำงานชุดที่ท่านนายกฯ ตั้งขึ้น ให้รอดูผลการทำงานไปก่อน
เมื่อวานฟังคำแถลงของอาจารย์วิชา มหาคุณ ประธานคณะทำงานฯ แล้ว ดีใจมากๆ มีความหวังว่าความยุติธรรมกำลังจะกลับมาค้ำจุนชาติอีกครั้ง
แต่ “ความยุติธรรมจะกลับมาค้ำจุนชาติ” อีกครั้งจริงๆ อย่างน้อยต้องมีการดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้ครับ
1) เรื่อง “เจตนาย่อมเล็งเห็นผล” ที่ผมเคยเขียนบอกไว้ในคราวก่อน คดีนี้มิใช่แค่เป็นความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่เป็นการกระทำความผิดแบบ “กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท”
หมายถึงการกระทำความผิดครั้งเดียว แต่เป็นความผิดตามกฎหมายหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งอีกหนึ่งในความผิดหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันนี้ คือ ความผิดฐาน “ฆ่าคนตายโดยเจตนา” เพราะมีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการกระทำแบบ“เจตนาย่อมเล็งเห็นผล” และเป็นความผิดที่ยังไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหา ไม่เคยสอบสวน และไม่เคยสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องมาก่อน
ที่สำคัญคือยังอยู่ในอายุความที่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับประเด็นการสั่งไม่ฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ดังนั้นผู้ที่จะต้องรับช่วงต่อจากคณะของอาจารย์วิชาจะต้องรีบดำเนินการในเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด
2) เรื่อง “พยานเท็จ” และ “กระบวนการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด”
จะต้องไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูเพราะ “พยานเท็จ” และ “กระบวนการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด” เป็นสาเหตุหลักของปัญหา หากไม่จัดการพวกนี้ให้สิ้นซากแบบไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว ขบวนการ “พยานเท็จ” และ “กระบวนการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด” พวกนี้จะยังคงมีอยู่แบบผีดิบ ที่พร้อมจะคืนชีพทุกครั้งที่มีโอกาส
3) เรื่อง “การฆ่าตัดตอนพยาน”กรณีการตายของนายจารุชาติ มาดทอง หนึ่งในพยานระลึกชาติ ที่จู่ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุตายอย่างกะทันหันและแปลกประหลาดก่อนที่จะมาให้ถ้อยคำกับกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรเพียง 1 วันพิรุธเยอะมาก ดังนี้
1.การให้ถ้อยคำของคู่กรณีมีพิรุธ
2.ดูจากภาพวงจรปิด ไม่สามารถแยกได้ชัดว่านายจารุชาติหรือคู่กรณี ใครเป็นคนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์นำหน้าหรือใครขับตามหลัง แต่ที่แน่ๆ ไม่มีเหตุผลที่ขณะเกิดเหตุจะต้องขับขี่แทบจะต่อท้ายกันมาโดยแทบจะไม่เว้นระยะห่างเลย จนเกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น คนขับขี่ตามหลังมาชนท้ายคันหน้า หรือคนขับขี่คันหน้าแบรคให้คนขี่ตามหลังชนท้าย

3.หลังเกิดเหตุรถของนายจารุชาติล้มลงตรงที่เกิดเหตุ ดูจากภาพไม่ได้รุนแรงอะไรเลย เพียงแค่รถล้มธรรมดาๆ ตามปกติเหตุการณ์เช่นนี้อย่างมากก็บาดเจ็บสาหัสไม่ถึงกับตาย แต่นายจารุชาติตาย
4.รถคู่กรณีไถลไปตามทางประมาณ 10 เมตร แล้วไปกระแทกกับขอบฟุตบาทเกาะกลางถนน จึงมีแรงกระแทกที่แรงขึ้นทั้งจากความเร็วรถและจากแรงไถล รถคู่กรณีจึงมีแรงกระแทกมากกว่ารถของนายจารุชาติที่เพียงล้มลงกับพื้นตรงที่เกิดเหตุ และตัวคู่กรณีก็ได้รับแรงกระแทกกับขอบฟุตบาททั้งจากน้ำหนักตัว น้ำหนักรถ แรงกระแทกจากความเร็วและแรงลื่นไถลของรถ แต่คู่กรณีแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่นายจารุชาติตาย
5.จากภาพวงจรปิด หลังเกิดเหตุมีกลุ่มคนวิ่งกรูกันออกมาจากข้างถนนฝั่งตรงข้ามหลายคน แต่ทุกคนวิ่งตรงไปที่นายจารุชาติ โดยไม่สนใจที่จะเข้าไปดูคู่กรณีที่เกาะกลางถนนเลย เป็นการผิดปกติวิสัยของสามัญชนที่เห็นอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมาก่อน
6.ไม่ปรากฎข่าวการสอบสวนคนกลุ่มที่วิ่งกรูกันเข้าไปที่นายจารุชาติ และไม่เคยปรากฎข่าวว่าเป็นใคร เห็นเหตุการณ์อย่างไร
7.ไม่เคยปรากฎความชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำตัวนายจารุชาติส่งโรงพยาบาล เดินทางไปโรงพยาบาลอย่างไร และโดยรถของใคร
8.พบว่าโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ต่อมาก็พบแต่ถูกทุบทำลาย และต่อมามีผู้แจ้งว่าตนเป็นคนเอาโทรศัพท์ของนายจารุชาติไป อ้างว่ามีรูปตนเองอยู่ในโทรศัพท์ไม่ต้องการให้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นพิรุธและเป็นการกระทำผิดกฎหมายฐานทำลายพยานหลักฐาน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อสงสัยว่านายจารุชาติอาจถูกทำให้ตาย แต่ไม่มีการสอบสวนดำเนินคดีชายผู้นี้เลย เป็นพิรุธและผิดปกติวิสัยของการสอบสวนกรณีสงสัยเกี่ยวกับการตาย
9.แม้โทรศัพท์มือถือจะถูกทุบทำลายแต่ในทางปฏิบัติยังสามารถนำไปตรวจสอบและถอดข้อมูลได้ แต่ไม่ปรากฎข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการเช่นว่านี้เลย
10.การที่บุคคลที่ได้รับอุบัติเหตุและอาจอยู่ในสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้นั้น เป็นการง่ายที่จะทำให้ตาย เพียงแค่หาวิธีที่ทำให้หายใจไม่ออกธรรมดาๆ ที่ไม่มีร่องรอยเท่านั้น เช่น บีบจมูกอุดปากเบาๆ ก็ไปแล้ว ไม่ต้องบีบคอก็ได้ครับ
เรื่องเหล่านี้เคยตรวจสอบ หรือสอบสวนกันหรือยัง