

- แบ่งกลุ่มยากว่าแสนรายการเป็น12กลุ่มตามต้นทุน
- ก่อนนำมาคำนวณกำหนดกำไรส่วนต่างแต่ละกลุ่ม
- หวังไม่ให้โรงพยาบาลเอกชนโขกราคายาสูงเกินจริง
นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการกำหนดกำไรส่วนต่างราคายาของโรงพยาบาลเอกชน เพื่อแก้ปัญหาราคายาแพงเกินจริงว่า ขณะนี้ มีความคืบหน้าเป็นลำดับ โดยคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วย กรม, คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กระทรวงสาธารณสุข, โรงพยาบาลเอกชน และผู้เชี่ยวชาญด้านยา ได้แบ่งกลุ่มยา ที่โรงพยาบาลเอกชนได้ส่งมาให้กรมกว่าแสนรายการออกเป็น 12 กลุ่มตามราคาต้นทุน โดยกลุ่ม 1 ราคาเม็ดละ 0-0.20 บาท, กลุ่ม 2 ราคา 0.20 – 0.50 บาท, กลุ่ม 3 ราคา 0.50-1 บาท, กลุ่ม 4 ราคา 1-5 บาท, กลุ่ม 5 ราคา 5-10 บาท, กลุ่ม 6 ราคา 10-50 บาท, กลุ่ม 7 ราคา 50-100 บาท, กลุ่ม 8 ราคา 100-500 บาท, กลุ่ม 9 ราคา 500-1,000 บาท, กลุ่ม 10 ราคา 1,000-5,000 บาท, กลุ่ม 11 ราคา 5,000 -10,000 บาท และกลุ่ม 12 ราคา 10,000 บาทขึ้นไป
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่แบ่งยาทั้งหมดออกเป็น 12 กลุ่มแล้ว จากนั้นคณะทำงานจะศึกษาและคำนวณต้นทุน ราคาขาย กำไร เพื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยในแต่ละกลุ่มก่อนที่จะกำหนดเพดานกำไรว่า ยาในแต่ละกลุ่มจะมีกำไรได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของราคาต้นทุน แล้วจะประกาศให้โรงพยาบาลเอกชนได้รับทราบ เพื่อไม่ให้จำหน่ายยาที่แพงเกินไป รวมถึงจะเผยแพร่บนเว็บไซต์กรมที่ dit.go.th หลังจากที่ผ่านมา พบว่า โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งคิดกำไรยาบางรายการสูงมากในระดับ 1,000-10,000% จนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่เข้าไปใช้บริการ และรับการรักษา
“เมื่อศึกษาและกำหนดเพดานกำไรส่วนต่างได้แล้ว กรมจะประกาศขึ้นเว็บไซต์กรมที่ dit.go.th ทันที และแจ้งให้โรงพยาบาลเอกชน อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกำหนดเพดานกำไรส่วนต่างของยาทุกรายเป็นอัตราเดียวกันได้ทั้งหมด เพราะจะมีผลกระทบต่อผู้จำหน่ายและผู้ป่วยมาก เช่น ยาที่มีต้นทุน 20 สตางค์ (สต.) หากกำหนดให้มีกำไรไม่เกิน 100% ก็เท่ากับให้ขายได้ไม่เกิน 40 สต. ซึ่งผู้ป่วยยังรับได้ แต่ถ้าเป็นยาที่ต้นทุนสูงถึง 100,000 บาท และถ้ากำหนดกำไรส่วนต่างไม่เกิน 100% ก็เท่ากับสามารถตั้งราคาขายได้สูง 200,000 บาท จะสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ดังนั้น ยาที่มีต้นทุนต่ำก็อาจปล่อยให้โรงพยาบาลเอกชนขายได้ในราคาสูงกว่ายาที่มีต้นทุนสูง”