พาณิชย์หนุนใช้เอฟทีเอส่งออกไม้ดอกไม้ประดับไทย



  • คัดเกษตรกร นักปรับปรุงพันธุ์ ผู้ประกอบการ 20 ราย ติดเข้ม
  • ให้ความรู้เรื่องพัฒนาสินค้า การทำธุรกิจเชิงลึกก่อนลุยส่งออก
  • ยันไทยมีศักยภาพเป็นผู้ส่งออกที่ของ 11 โลก ที่ของ 3 อาเซียน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงโครงการ “เตรียมความพร้อมภาคเกษตรสินค้าไม้ดอกไม้ประดับไทยโอกาสใหม่ภายใต้เอฟทีเอ” เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไม้ดอกไม้ประดับ รวมถึงเกษตรกรของไทยที่มีศักยภาพ สามารถส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ฉบับต่างๆ ที่ไทยทำกับประเทศคู่เอฟทีเอว่า หลังจากที่กรมได้เปิดรับสมัครภาส่วนต่างๆ ในวงการไม้ดอกไม้ประดับไปแล้ว ล่าสุด มีผู้ผ่านการคัดเลือก 20 ราย จากผู้สมัคร ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกร นักปรับปรุงพันธุ์ และผู้ประกอบการทั่วประเทศ 93 ราย

“ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าร่วมกิจกรรมสำคัญ เช่น การอบรมบู้ทแคมป์ เรื่องการพัฒนาสินค้าและขยายโอกาสทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และการใช้ประโยชน์เอฟทีเอ การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการทำธุรกิจเชิงลึก ณ สถานประกอบการ การจับคู่และสร้างเครือข่ายธุรกิจกับคู่ค้าในประเทศเป้าหมาย เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกไปยังประเทศคู่เอฟทีเอได้”

นางอรมน กล่าวว่า กรมเล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางการค้าของสินค้าไม้ดอกไม้ประดับไทย ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ส่งออกไม้ดอกไม้ประดับ อันดับที่ 11 ของโลก และอันดับที่ 3 ของเอเชีย รองจากจีน และมาเลเซีย จึงได้จัดทำโครงการ เพื่อช่วยสร้างโอกาสและความแข็งแกร่งให้กับเกษตรกร นักปรับปรุงพันธุ์ และผู้ประกอบการ ให้มีความพร้อมเข้าสู่ตลาดการค้าโลก โดยเฉพาะตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไม้ดอกไม้ประดับไทย พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ สร้างแต้มต่อทางการค้า ขยายตลาดสู่ต่างประเทศมากขึ้น

ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทย ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง เปรู และชิลี ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าไม้ดอกไม้ประดับจากไทยแล้ว คงเหลืออินเดียที่ยังเก็บภาษีนำเข้าไม้ดอกไม้ประดับบางรายการจากไทยที่ 5% เช่น ดอกกุหลาบ กิ่งชำมอส ไลเคน เป็นต้น โดยในช่วงเดือน ม.ค. – พ.ย. 63 ไทยส่งออกสินค้าไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ มูลค่า 90.70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 25.93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 เพราะการระบาดของโควิด-19