
- ก่อนหารือสาธารณสุขพิจารณาราคาขายที่เหมาะสม
- ”จุรินทร์”ย้ำพบค้ากำไรเกินควรมีโทษหนักทั้งจำ-ปรับ
- สัปดาห์หน้าเช็คราคาแต่ละยี่ห้อที่เว็บ www.dit.go.th
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงมาตรการกำกับดูแลการจำหน่ายชุดตรวจโควิด (Antigen Test Kid) หรือเอทีเคแบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตัวเองว่า ที่ผ่านมา กรมการค้าภายใน ได้ทำหนังสือไปยังผู้นำเข้าและจำหน่ายเอทีเค ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้แจ้งต้นทุนการนำเข้า ซึ่งเป็นราคานำเข้า ที่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ และราคาที่จะขายในประเทศ เพื่อที่กรม จะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาราคาขายที่เหมาะสม โดยขณะนี้ ผู้ประกอบการได้ทยอยแจ้งมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม เอทีเค ที่นำเข้ามามีหลากหลายแบบ หลากหลายคุณภาพ และมีต้นทุนที่ต่างกันมาก จึงไม่สามารถกำหนดราคาเพดานสูงสุดเท่ากันในทุกยี่ห้อว่าควรจะขายได้ไม่เกินเท่าไร เพราะจะไม่สอดคล้องกับคุณภาพ เช่น ต้นทุนต่ำ แล้วอนุญาตให้ขายในราคาเท่ากับต้นทุนสูง ก็จะไม่เป็นธรรมสำหรับผู้บริโภค หรือต้นทุนสูงแล้วให้ขายเท่ากับต้นทุนต่ำ ก็จะไม่เป็นธรรมสำหรับผู้นำเข้า/ผู้ค้า
“ระหว่างนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะใช้พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 มาตรา 29 ติดตามดูแลราคาขายเอทีเค ถ้าพบว่า มีการขายราคาสูงเกินควร หรือค้ากำไรเกินควร โดยขายราคาสูงกว่าต้นทุนหลายเท่าตัว จะดำเนินการตามมาตรา 29 ที่ถือว่า เป็นมาตราที่กำหนดโทษสูงสุดภายใต้กฎหมายนี้ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เตรียมนำเข้ามาแจกฟรีให้ประชาชน 8.5 ล้านชิ้น”
นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายของอย. ที่จะกำกับดูแลการจำหน่ายเอทีเคได้อีก โดยกฎหมายของอย.กำหนดให้ต้องขายภายในร้านขายยา ที่มีเภสัชกรให้คำแนะนำเท่านั้น ส่วนที่วางขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ หรือตลาดมืด หรือร้านค้าทั่วไป ถือว่า ผิดกฎหมายของอย. เพราะไม่อนุญาตให้วางขายในสถานที่อื่น นอกเหนือจากร้านขายยา
ด้านนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้ ทราบว่า มีเอทีเคของผู้ประกอบการ 26 ผลิตภัณฑ์ ผ่านการขึ้นทะเบียนกับอย.แล้ว แต่เริ่มวางขายในประเทศยังไม่ครบทุกราย ซึ่งกรมได้ทยอยแจ้งให้ทุกราย ส่งข้อมูลต้นทุนการนำเข้าและราคาขายมาให้แล้ว เพื่อจะได้ร่วมกับสาธารณสุขพิจารณาราคาขายที่เหมาะสม ที่ให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ และผู้นำเข้ายังสามารถนำเข้ามาขายได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการไม่แจ้งข้อมูลมาให้กรม จะมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะมีโทษทั้งจะและปรับ
“หลังจากได้ข้อมูลต้นทุนการนำเข้า และราคาขายจากผู้ประกอบการแล้ว สัปดาห์หน้า กรมจะทยอยนำราคาขายเอทีเคแต่ละยี่ห้อ ประกาศบนเว็บไซต์กรมที่ www.dit.go.th เพื่อให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบได้ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ แต่เชื่อว่า หลังจากที่มีวางขายหลายยี่ห้อมากขึ้น ราคาในตลาดจะแข่งขันได้มากขึ้น และประชาชนจะเข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นการค้ากำไนเกินควร แจ้งได้ที่สายด่วนกรมโทร.1569 จะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบ หากพบผิดจริง จะดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด”










