พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญ ดาหน้าออกมาคัดค้านขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว



  • เผยพบพิรุธหลายเรื่อง จี้รัฐ-เอกชน ทำตามกฎหมาย
  • ”ส.ส.ภูมิใจไทย” พร้อมระดมข้อมูลจ่อโต้หาก ครม.ถกพรุ่งนี้
  • “เพื่อไทย” ขู่ หาก รมต. ไฟเขียวจะนำเรื่องถึงศาล-ป.ป.ช.

วันนี้ (21 ก.พ. 65) สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดเวทีเสวนาออนไลน์ “เปิดปมสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว ประชาชนได้หรือเสีย ?” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), รศ. ดร.ชาลีเจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักวิชาการ, นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคภูมิใจไทย (ภท.), นายชนินท์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) และดำเนินรายการโดย นางสาวฐปณีย์ เอียดศรีไชย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากปรากฏเป็นข่าว 7 รัฐมนตรี สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลาประชุมคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งส่งข้อเสนอแนะจากกระทรวงคมนาคมประกอบการพิจารณาวาระต่อสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือ บีทีเอส จึงน่าจับตาว่า ครม. จะพิจารณาวาระดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ (22 ก.พ. 65) หรือไม่ 

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ยังไม่ได้รับข่าวว่าจะนำวาระเข้าที่ประชุม ครม.ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ ถ้านำเข้าคงไม่วอล์คเอาท์แล้ว  แต่จะเตรียมข้อมูลไปนำเสนอโต้แย้ง ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมได้เตรียมเอกสารข้อมูลประกอบไว้ค่อนข้างพร้อม และมีอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะโครงสร้างกรรมสิทธิ์ ในสัญญาสัมปทาน ช่วงปี 2561-2562 ที่ได้ดำเนินการไว้ไม่ถูกต้อง 

“หากทางกระทรวงมหาดไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง  พรรคภูมิใจไทยคงมีจุดยืนเดิม คือ ไม่ลงมติเห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทาน คงได้มีโหวตสวนกันแน่นอน” นายสิริพงศ์ ย้ำจุดยืนพรรค

นายสิริพงศ์ ยังได้ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า ครม.ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 60,000 ล้านบาท เป็นของใคร และ กทม. ทำตามกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่ 

เพราะแม้มีมติครม.ให้มีการโอน งานก่อสร้างให้ กทม. แต่หาก กทม. ยังมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายให้ครบถ้วน ดังนั้น ภาระหนี้จึงเป็นของ รฟม. อยู่ ณ วันนี้ ตลอดจนบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด มีสิทธิ์อะไรไปจ้าง บีทีเอส เพื่อดำเนินการตามสัมปทานเดินรถ 

“การก่อหนี้ตรงนี้ต้องมีคนรับผิด แม้จะอ้างมาตรา 44 แต่การดำเนินการที่ผิดพลาดมันมาตั้งแต่ก่อนมาตรา 44 ซึ่งต้องเน้นย้ำในทางปฏิบัติที่ต้องให้ กทม. ดำเนินการตามระเบียบขั้นตอน นี่คือประเด็นข้อกฎหมายที่มีน้ำหนักมากในที่ประชุม ครม. และหากยังจะพิจารณาสัญญาตรงนี้ คมนาคมก็จะยังคงไม่เห็นด้วย” นายสิริพงศ์ กล่าว

ด้านนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า โดยหลักแล้วสัญญาประเภทนี้ หน่วยงานราชการควรเปิดเผยให้ประชาชนทราบ เพราะผลทั้งหลายนั้นเกี่ยวข้องกับประชาชน เช่น ค่าโดยสาร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ทาง กทม. ต้องชี้แจง และทำให้ปรากฏว่าไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้น ไม่ควรมีการดำเนินการอะไรแปลก ๆ อย่างการใช้มาตรา 44 ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) จ้างเอกชนรายเดียวดำเนินรถในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงความเป็นความลับของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ที่ควรมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้

“ที่ผ่านมารถไฟฟ้าสายสีเขียวมีกระบวนการที่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ตั้งแต่การก่อสร้างทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา และการต่อสัญญาจนถึงสถานีแบริ่ง ผมอยู่ในวงการมาก็ยังไม่ทราบว่าสัญญาของบีทีเอสมันมีกี่ปีกันแน่ มันไปถึงเมื่อไหร่ ตรงนี้เป็นข้อมูลที่ผมเชื่อว่าหลายท่านก็ไม่ทราบ และตราบใดยังไม่เปิดข้อมูลทั้งหมดมันเป็นอันตรายมาก โดยเฉพาะในอนาคตที่จะมีการเชื่อมต่อโครงข่ายอีกหลายสาย” นายประภัสร์ กล่าว

ส่วน รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในประเด็นเดียวกันว่าเราทราบข้อมูลว่า กทม. ได้รับรายได้จากการเดินรถกว่า 3 แสนล้านบาท จากสูตรค่าโดยสาร 15+3X แล้วประโยชน์เหล่านี้จะกลับมาที่ประชาชนหรือไม่? พร้อมทั้งคาดการณ์ฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมพรุ่งนี้อยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่1. เลื่อนการต่อสัญญาสัมปทานนี้ออกไป 2. ต่อสัญญาสัมปทานด้วยการ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หรือคือการอาศัยอำนาจของ ครม. ลงมติอนุมัติ 3. ถอนออกไปเลย โดยไม่กลับเข้า ครม. อีก 

“หวังว่าจะมีการแก้ปัญหาเป็นระบบและมองภาพรวม เพราะเป้าหมายคือการทำให้ค่าโดยสารทั้งหมดมีราคาถูกไม่ใช่แค่สายสีเขียว ขณะเดียวกันควรมีแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ไม่ให้ประชาชนต้องจ่ายทั้งหมดใน 30 ปี แค่ทราบข้อมูลบางส่วน การต่อสัมปทาน 30 ปี ก็เหมือนจะไปต่อไม่ได้แล้ว ดังนั้น จึงอาจไม่เกิดการอนุมัติใน ครม. ในวันพรุ่งนี้” นายชาลี คาดคะเนผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้จากการประชุม ครม. สัปดาห์นี้” รศ.ดร.ชาลี กล่าว

รศ.ดร.ชาลี ยังกล่าวถึงการกดดันมติใน ครม. ว่าแม้ฝ่ายค้านจะไม่สามารถควบคุมการทำงานของ ครม. ได้เสียทีเดียวแต่เราพูดให้ดังขึ้นได้ ซึ่งหาก ครม. จะอนุมัติเรื่องนี้ก็ต้องใช้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของ ครม. ซึ่งอาจสามารถรวมเสียงคัดค้านของ ภูมิใจไทย พร้อมทั้งอยากเรียกร้องไปยังพรรคประชาธิปัตย์ ที่การเรียกร้องไปยัง ดร.เอ้ ศ.ดร. สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีจุดยืนไม่สนับสนุนการต่อสัญญาสัมปทาน ให้ชัดเจนในจุดยืน และร่วมกดดันเรื่องนี้

นายประภัสร์ ยังกล่าวอีกด้วยว่า เมื่อรัฐบาลอ้างว่าทำทุกอย่างตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ยกเว้นการใช้มาตรา 44 ตรงนี้มันสะท้อนนัยบางอย่าง ที่ตรวจสอบไม่ได้ และไม่โปร่งใส การเร่งอนุมัติไปมันก็มีสิทธิ์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 157 เช่นกันไม่ใช่แค่ไม่เข้าแล้วจะผิดมาตรา 157 

“ทำไมมันถึงเร่งด่วนต้องเอาเข้าให้ได้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง หรือที่รัฐบาลนี้จะหมดชุดลงไป ทั้งที่สัญญาไม่ใช่จะหมดวันนี้พรุ่งนี้ ส่วนนี้ก็เร่งเก็บเงินไปเลย บวกเข้าไปใช้หนี้ มันควรต้องเอามาดูให้ชัด ไม่งั้นหากอนุมัติไปความเสียหายที่ตามขึ้นมาอีกหลายเรื่องต่อระบบขนส่งมวลชน ที่ต้องทำให้ ‘มวลชน’ ใช้ได้ ไม่ใช่แค่บางชนชั้นใช้ได้ มันเป็นขนส่งสาธารณะที่ควรดูที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่หาค่าโดยสารแพงเพื่อหาเงินจ่ายให้กับรัฐบาล” นายประภัสร์กล่าว