“บิ๊กบินไทย” โชว์แผนปี’66 ฟื้นความแกร่งปี’67 ลุยเทรดใหม่ ลุยเจรจาแฮร์คัต-แปลงหนี้เป็นทุน-เพิ่มรายได้ตลาดบินโลก



  • บิ๊กการบินไทยเปิดแผนปี’66 มีสัญญาณหนุนความแกร่งเป็นแรงส่งปี’67 นำหุ้นเข้าเทรดในตลาดได้อีกครั้ง
  • ปีเถาะลุยปลดล็อก 2 เรื่อง “เจรจาแฮร์คัตหนี้-แปลงหนี้เป็นทุน” เร่งหาเงินใหม่มาเติมขอใช้เงินกู้แค่ 25,000 ล้านบาท
  • พร้อมรุกโกยรายได้หลังทั่วโลกเปิดประเทศ ผู้โดยสารแห่ใช้การบินไทยวันละกว่า 30,000 คน ตั้งเป้าทำอัตราบรรทุกให้ถึง 80%

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยระหว่างการขึ้นเวทีเสวนาของเครือมติชน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 ในหัวข้อ “Speed up การบินไทย-ท่องเที่ยวไทย” โดยกล่าวถึงตนเข้ามาทำหน้าที่บริหารการบินไทยเมื่อปี 2563 ช่วงวิกฤตโควิดและวิกฤตการบินไทยต่อเนื่องกัน 3 ปี กระทั่งสถานการณ์ทั่วโลกเริ่มคลี่คลายรัฐบาลไทยประกาศเปิดประเทศเมื่อครึ่งปีหลัง 2565 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้การบินไทยและสายการบินต่าง ๆ ทยอยกลับมาเปิดบริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ ผนวกกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ประมาณการณ์เดินทางของชาวยุโรป อเมริกา จะฟื้นเป็นปกติได้ต้องรอปี 2567 ส่วนประเทศแถบ “เอเชีย-แปซิฟิก”จะเติบโตอย่างคึกคักปี 2568-2569

ส่วน “การบินไทย” ปี 2566 จะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งเบื้องต้นจากแรงหนุน 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยที่ 1 เจรจาลดมูลหนี้ที่ติดค้างกันอยู่ระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้หรือ Hair Cut  ปัจจัยที่ 2 เดินหน้าแปลงหนี้เป็นทุน แบ่งเป็น รัฐบาลจะแปลงหนี้เป็นทุน 100 % เอกชนจะแปลงหนี้เป็นทุน 20% ส่งผลดีกับการบินไทยปี 2566-2568 จะมีสัดส่วนทางการเงินดีขึ้นและมีทุนเป็นบวก จะสามารถนำหุ้นกลับมาขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งแต่ปลายปี 2567 หรือต้นปี 2568 เป็นต้นไป

สาระสำคัญของแผนฟื้นฟูการบินไทยฉบับใหม่ คือ 1.กระทรวงการคลัง ผู้ถือหุ้นใหญ่ 44.693 % แปลงหนี้เป็นทุน5,040 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.5452 บาท รวมเป็นวงเงิน 12,827 ล้านบาท 2.เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ แปลงหนี้เป็นทุน9,822 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.5452 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 ล้านบาท 3.การใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของผู้ให้สินเชื่อใหม่จัดสรรหุ้น 4,911 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.5452 บาท หรือวงเงิน 12,500 ล้านบาท

แนวทางของการบินไทยใน “การขายหุ้น” ประกอบด้วย 1.ขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (PO) 9,822 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.5452 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 ล้านบาท 2.หากยังมีหุ้นเหลือจะเสนอขายให้กับกรรมการ พนักงานบริษัท(ESOP) ในราคาต่ำกว่า 2.5452 บาท 3.หากยังเหลือจากการเสนอขายให้กรรมการ พนักงานบริษัท (ESOP) จะจัดสรรให้กับบุคคลในวงจำกัด (PP) ตามราคา PO และไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาท

เพื่อรองรับ “การใช้สิทธิแปลงหนี้ดอกเบี้ยใหม่ตั้งพัก ให้เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของเจ้าหนี้” จำนวน 1,904 ล้านหุ้นราคาไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาท วงเงิน 4,845 ล้านบาท

“ปรับลดเงินกู้ก้อนใหม่ลงเหลือเพียง 25,000 ล้านบาท” จากแผนเดิมจะกู้รวม 50,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนการดำเนินงานของบริษัท

“ภาพรวมผลประกอบการตามแผนปี 2566” จะต้องทำให้มีผู้โดยสารใช้บริการวันละ 30,000-35,000 คน เพิ่มอัตราการบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ย (cabin factor) ให้ได้ 75-80 % และเตรียมจัดหาเพิ่มเครื่องบินใหม่เข้ามาเสริมทัพอีก 4 ลำ รวมแล้วจะมีทั้งหมด 68 ลำ จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 64 ลำ

นายชาญศิลป์ ย้ำว่าปี 2566 การบินไทยจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมีเงินสดอยู่ในมือได้ถึง 56,000 ล้านบาท มาจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายมีรายได้จากผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 เป็นต้นมาทำได้เดือนละ13,000 ล้านบาท เกินค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้เดือนละ 12,000 ล้านบาท ฟื้นตัวจากช่วงโควิดมีรายได้ต่ำสุดเดือนละ 283 ล้านบาท ผู้โดยสารเกือบเป็นศูนย์คน ส่วนคาร์โก้ก็ทำได้เดือนละกว่า 100 ล้านบาท (สถานการณ์ปกติมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 12,000-13,000 ล้านบาท) ช่วงโควิดคาร์โก้มีเงินไหลเข้าเพราะการขนส่งทางเรือหยุดชะงักทำรายได้อยู่ที่เดือนละ 2,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเมือการขนส่งทางเรือปกติรายได้คาร์โก้จึงลดลง

ปัจจุบันการบินไทยมีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยวันละกว่า 100 เที่ยวบิน ทั้งจากตลาดในและต่างประเทศวันละ 30,000 คน โดยจะต้องทำงาน 24 ชั่วโมง เพราะมีคู่แข่งระดับโลกหลายทวีป  เมื่อการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก ก็จะมีผลดีต่อการจ้างงานทำให้จีดีพีประเทศมาจากรายได้การท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศประมาณ 12%

ส่วนการบินไทยต้องทำตามแผนเรื่องการหาเงินใหม่เข้ามาค้ำจุนจ่ายเจ้าหนี้ 13,000 ราย มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทด้วยวิธี 1. จดทะเบียนเพิ่มทุนให้แล้วเสร็จ 2. ไม่มีเหตุผิดนัดเจ้าหนี้ 3. ต้องมีกำไรก่อนหลังจากหักค่าเช่าอย่างน้อย 12 เดือน 20,000 ล้านบาท 4. ตั้งกรรมการใหม่

นายชาญศิลป์กล่าวว่า ในระหว่างฟื้นฟูกิจการเมื่อไม่มีเงินสร้างความลำบากมากไม่มีผู้ให้กู้ จึงต้องใช้วิธีเก็บเงินไว้กระทั่งเหลือต่ำสุด 4,000-5,000 ล้านบาท นำมาหมุนเวียนใช้จ่ายได้ไม่เกิน 2-3 เดือน ตอนนั้นใช้วิธีทุกฝ่ายร่วมมือกันทำทุกวิถีทาง ทั้งพนักงาน ผู้บริหาร เน้นปรับโครงสร้างองค์กร เชิญที่ปรึกษาอินเตอร์มาทำข้อเปรียบเทียบความเป็นมืออาชีพกับโครงสร้างของสายการบินระดับโลกโดยการบินไทยเดินหน้าทำแล้วเบื้องต้น 4 ส่วน ประกอบด้วย

ส่วนที่ 1 เพิ่มหน่วยงานด้านดิจิทัลพร้อมกับลดขนาดองค์กรจาก 8 เหลือ 5 ระดับ

ส่วนที่ 2 วางแผนจัดซื้อฝูงบินจะต้องดูตลาดให้สอดคล้องกับเส้นทางบินต้องความคุ้มค่าการลงทุน จึงเลือกเจรจาลดค่าเช่าเครื่องบินและขอจ่ายตามจริงเพื่อแก้ปัญหาฝูงบินล้นความต้องการทั่วโลกมีให้เลือก 500-600 ลำ  ผู้ให้เช่ายอมลดค่าเช่าลง 30-50% รวมกว่า 50 สัญญา

ส่วนที่ 3 ขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ออกไป ตัวอย่างเครื่องบินเดิมจอดทิ้งไว้นับสิบปีหลายลำ

ส่วนที่ 4 ปรับปรุงระบบดิจิทัลต้องหาเงินมาลงทุนเรื่องการตลาดดิจิทัล เปิดระบบจองตั๋วผ่าน คอล เซ็นเตอร์ ทำให้สถานการณ์รายได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

รวมถึงการบินไทยเริ่มมี “รายได้อื่น ๆ” เข้ามา 9,274 ล้านบาท ควบคู่กับการเร่งปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรสร้างความคล่องตัวทางการแข่งขัน โดยเฉพาะการลดบุคลากรจากเดิม 24,500 คน ปัจจุบันเหลือ 15,000 คน พลิกฟื้นการบินไทยที่เคยขาดทุนติดต่อกัน 9 ปี ทำกำไรสะสมและทุนติดลบ แถมยังเกิดวิกฤตโควิดจึงใช้จังหวะ 3 ปีที่ผ่านมาสร้างโอกาสพลิกโฉมหน่วยงานใหม่อีกครั้ง

เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen