

- เร่งให้ลงทุน ทั้งโครงการขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี
- เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
- เปิดมาตรการกระตุ้นลงทุนท่องเท่ียว
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ ) ว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศโดยเร็ว บอร์ดจึงได้้เห็นชอบมาตรการพิเศษ 3 มาตรการ เพื่อเร่งรัดการลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ของบีโอไอได้ง่ายขึ้น รวมท้ังได้ปรับปรุงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการ ที่มีศักยภาพสูงกว่าเข้าไปสนับสนุนกิจการขององค์กรในท้องถิ่นให้มากขึ้น
สำหรับมาตรการแรก คือ มาตรการกระตุ้นการลงทุนสำหรับโครงการขนาดใหญ่ ในอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายที่มีผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจของประเทศ (กิจการกลุ่ม A1 A2 และ A3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 – 8 ปี แต่ไม่รวมกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้ นิติบุคคล50 %เพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีการลงทุนจริง (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2563 หรือไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 ทั้งนี้ มาตรการนี้มีผลบังคับใช้สำหรับคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่ 2 ม.ค. 2562 ถึง 30ธ.ค.นี้ และ หากดำเนินการกระตุ้นการลงทุนตามมาตรการนี้แล้ว คาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุน 200,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2563 – 2564
ท้ังนี้ใน การส่งเสริม เอสเอ็มอี จะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ช่วยเสริมมาตรการสนับสนุนของหน่วยงานอื่นๆ โดยกำหนดคำจำกัดความของ เอสเอ็มอี ใหม่ คือ เป็นกิจการที่ต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย51 %และต้องมีรายได้ของกิจการทั้งที่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปีแรก ในกรณีตั้งกิจการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคลเพิ่มเติมอีก 1 ปี ขณะที่หากตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 200 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ด้วยทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.ถึง วันทำการสุดท้ายของปี 2564
ขณะเดียวกัน เพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามา มีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานรากมากยิ่งขึ้น บอร์ดบีโอไอจึงเห็นชอบให้มี การปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากที่บีโอไอ เปิดให้การส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 โดยการปรับปรุงมาตรการในครั้งนี้ จะเป็นการขยายระยะเวลาการยื่นขอรับ การส่งเสริมออกไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2564 และขยายขอบข่ายคุณสมบัติของผู้ขอรับการส่งเสริมให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยให้รวมถึงผู้ประกอบการที่มีกิจการที่ดำเนินกิจการอยู่เดิมแต่ยังไม่เคยได้รับการส่งเสริมมาก่อนด้วย ทั้งนี้ กิจการที่ดำเนินการอยู่เดิมจะต้องเป็นประเภทกิจการที่บีโอไอให้ส่งเสริมในปัจจุบันด้วย
นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้โครงการที่ยังมีสิทธิประโยชน์ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลืออยู่หรือโครงการลงทุนใหม่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการนี้ได้ หากมีการลงทุนหรือมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก โดยจะได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วน 120 %ของเงินสนับสนุน และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้น บอร์ดบีโอไอยังได้เปิดโอกาสให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการเศรษฐกิจฐานราก สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการอื่นได้ด้วย
นางสาวดวงใจ กล่าวว่า กิจการที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นกิจการที่บีโอไอให้การส่งเสริมในหลากหลายประเภท เพื่อให้เกิดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ได้มาตรฐาน รวมถึงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว การยกระดับมาตรฐานกิจการสนับสนุนการท่องเที่ยวเพิ่มเติม จึงเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า และกิจการโรงแรม โดยประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า ได้ขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมรถรางไฟฟ้า เพื่อการท่องเที่ยวด้วย และกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนโครงการที่มีคุณภาพ
สำหรับกิจการโรงแรม ได้มีการปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการกระจายรายได้ และการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง โดยเน้นการสร้างคุณภาพและมาตรฐานของโรงแรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีระยะเวลาพำนักนานขึ้น และมีการใช้จ่ายในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยปรับขอบข่ายพื้นที่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี จากเดิมซึ่งให้เฉพาะกรณีลงทุนในพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ขยายเป็น กรณีลงทุนในพื้นที่เมืองรอง 55 จังหวัดตามยุทธศาสตร์ การท่องเที่ยว ทั้งนี้ สำหรับโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ 22 จังหวัดที่ไม่ได้ประกาศเป็นเมืองรอง จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอากรเท่านั้น