ธ.ก.ส.เตรียมให้ของขวัญปีใหม่ ออกโครงการ “ชำระดีมีคืน” ลุ้นลดดอกเบี้ยสูงสุด 20% คาดสิ้นปี NPL อยู่ระดับ 4.03%



  • หลังจบพักหนี้เกษตรกรบางส่วนกลับมาชำระหนี้ได้กว่า 50%
  • แบ่งลูกหนี้ออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อเข้าไปช่วยดูแล

นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร (บอร์ด) ช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้ พิจารณาอนุมัติโครงการ ชำระดีมีคืน สำหรับลูกค้าที่ชำระหนี้ดี ซึ่งอาจคืนดอกเบี้ยให้ 10-20%ของดอกเบี้ยจ่าย คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นเดือนธ.ค.นี้ โดยธนาคารมีงบประมาณจากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ลดเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จากเดิม 0.25% เหลือ 0.125% ต่อปี

“ที่ผ่านมาธนาคารเคยทำมาตรการลักษณะการชำระดีมีคืนแล้ว โดยลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้าที่ชำระดีประมาณ 20% ซึ่งธนาคารคืนให้ลูกค้ากว่า 5,000 ล้านบาท จากเกษตรกรที่ร่วมโครงการกว่า 1 ล้านราย ซึ่งครั้งนี้ก็คาดว่าสุดสุดจะไม่เกิน 20% เช่นกัน แต่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ โดยหวังว่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับเกษตรกรด้วย”

ส่วนสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าปีบัญชี 2563 จะไม่แตกต่างจากสิ้นปีบัญชี 2562 ที่อยู่ระดับ 4.03% ซึ่งขณะนี้สถานการณ์หนี้ NPL ณ วันที่ 30 ก.ย.63 ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.95% จากพอร์ตหนี้ทั้งหมด 1.5 ล้านล้านบาท เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในช่วงมาตรการพักชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้จะไม่กระทบสถานการณ์ NPL เพราะธุรกิจยังสามารถเดินหน้าไปได้

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีการประเมินภาพรวม การกลับมาชำระหนี้หลังสิ้นสุดการพักชำระหนี้ในเดือนก.ค.64 ว่า​ น่าจะกลับมาชำระได้ดี​ เนื่องจาก​ สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรกรหลายตัวปรับตัวดีขึ้น​ อาทิ  ยางพารา​ เป็นต้น​ ซึ่งคาดว่า​ ยอดการชำระหนี้จะกลับมาเกิน​ 50% ของลูกค้าที่พักชำระหนี้ โดยธนาคารได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า​ในบางส่วนจากผู้เข้าโครงการพักชำระหนี้ 3.25 ล้านราย ซึ่งสำรวจแล้วทั้งสิ้น 2.9 ล้านราย หรือคิดเป็น 82% ของผู้ที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด ซึ่งที่เหลือคาดว่าจะสำรวจแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้

สำหรับการสำรวจได้แบ่งลูกค้าออกเป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย สีเขียว กลุ่มลูกหนี้ที่มีการชำระปกติ คิดเป็น 72% หรือ 2.09 ล้านราย  สีเหลือง กลุ่มที่ต้องปรับโครงสร้างหนี้ หรือปรับเปลี่ยนหนี้ คิดเป็น 23% หรือ 670,000 ราย สีส้ม กลุ่มที่ต้องฟื้นฟูอาชีพ และได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม คิดเป็น 3% หรือ 98,000 ราย กลุ่มสีแดง กลุ่มที่ต้องลดหนี้ คิดเป็น 2% หรือ 43,000 ราย และกลุ่มสีดำ หรือกลุ่มที่ต้องตัดเป็นหนี้สูญ จำนวน 1,500 ราย

“หลังจากจัดชั้นหนี้เรียบร้อยแล้ว ธนาคารจะเร่งหามาตรการดูแลลูกหนี้ที่ต้องช่วยเหลือเพิ่มเติม และขอยืนยันว่า ธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แน่นอน เพราะขณะนี้ธนาคารมีกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) 13.2%”

นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือด้านภาระหนี้สิน เพื่อลดภาระและผ่อนคลายความกังวลในช่วงวิกฤต ให้สามารถดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง 1.การพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งระบบ 1 ปี มีเกษตรกรลูกค้า สหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนได้รับประโยชน์ จำนวนกว่า 3.25 ล้านราย วงเงินพักชำระหนี้กว่า 1.45 ล้านล้านบาท

2. โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและครอบครัวในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจำเป็นและฉุกเฉินภายในครัวเรือน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท โดยไม่ต้องมีหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.1% ต่อเดือน จำนวน 2.52  ล้านราย โดย ธ.ก.ส. จ่ายสินเชื่อไปแล้วกว่า 850,000 ราย วงเงินกว่า 8,484.83 ล้านบาท

และ3. มาตรการช่วยเหลือของรัฐผ่านระบบ ธ.ก.ส. ได้แก่ การจ่ายเงินชดเชยรายได้สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 “เราไม่ทิ้งกัน” ของกระทรวงการคลัง เดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน มีผู้ได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือจำนวนกว่า 7.56 ล้านราย เป็นเงิน 113,304 ล้านบาท