

ท่าเรือมั่นใจชง ครม. อนุมัติท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ3 สัปดาห์หน้า เดินหน้าเซ็นสัญญาเอกชน “กัลฟ์-ปตท.” เดือนพฤษภา ด้าน “โชคชัย”ยืนยันโครงการลงทุนใน 5 ปี ในอีอีซี กระตุ้นเศรษฐกิจลงทุนกว่า 1.88 ล้านล้าน
เรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือแหลมฉบังระยะ 3ว่า ขณะนี้ ทลฉ.ได้กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), บจ.พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล และ บจ.ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จากประเทศจีน เป็นผู้ชนะการประมูลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปทางคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (กพอ.) จะเป็นผู้นำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาซึ่งในส่วนของราคากลางได้มีการปรับลด ดังนั้น ครม.จะต้องเห็นชอบอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากครม.เห็นชอบในราคาที่คณะกรรมการเจรจาแล้ว ต่อจากนั้นคณะกรรมการคัดเลือกจะต้องพิจารณาเรื่องของร่างสัญญา และจะทำการเปิดซองเทคนิคที่5 ควบคู่กัน หากการตรวจร่างสัญญาผ่านอัยการสูงสุดแล้วก็จะนำเสนอต่อกพอ.เพื่อพิจารณาอนุมัติผู้ชนะการประมูลต่อไป และลงนามสัญญาเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาอัยการได้เห็นชอบ1ร่างสัญญาแล้ว
ทั้งนี้ คาดหากสามารถนำเสนอต่อครม.ได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ ก็จะใช้ระยะเวลา 2เดือน หรือภายใน พฤษภาคม จึงจะสามารถลงนามได้ สำหรับเอกชนที่ชนะการประมูล คือ กลุ่ม GPC ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
ทั้งนี้ โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ยังอยู่ในแผนงานโดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 68 ซึ่งจะสอดคล้องกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่จะแล้วเสร็จในปี 68
นายโชคชัย ปัญญายงค์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC)กล่าวว่า โครงการพัฒนาในอีอีซีมีการดำเนินงานก้าวหน้าไปมากล่าสุดโครงการรถไฟฟาร์มเร็วสูงก็จะมีการส่งมอบพื้นที่ครบ 100% ในเดือนสิงหาคมนี้หลังจากนั้นก็จะเริ่มการก่อสร้าง ส่วนโครงการ ท่าเรือแหลมฉบังเฟสสามคาดว่าจะเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีได้ในเดือนพฤษภาคม ภาพรวมทั้งหมดยอมรับว่ามีความคืบหน้าและก้าวหน้าไปมากซึ่งการลงทุนในอีอีซีจะเห็นได้ว่าใน 5 ปีมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 1.8 ล้านล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งของการลงทุนเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลกว่า 2.2แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นการลงทุนของเอกชน อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าในแต่ละโครงการใน อีอีซี จะสำเร็จได้ในทุกโครงการได้ปี 67-68