

.นักลงทุนติดตามการออกรายงานการประชุมนโยบายการเงินเดือน ธ.ค.คืนนี้
.นักวิเคราะห์คาดแม้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแต่เริ่มลดอัตราเร่งลง
.ด้านตลาดน้ำมันยังคงกังวลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลราคาน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่อง
เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 33,286.29 จุด เพิ่มขึ้น
149.92 จุด หรือ +0.45% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 10,425.64 จุด เพิ่มขึ้น 38.66 จุด หรือ +0.37% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ระดับ 3,845.89 จุด เพิ่มขึ้น 21.75 จุด หรือ +0.57%
นักลงทุนซื้อขายหุ้นในลักษณะที่มีความระมัดระวังในช่วงแรกของปี 66 จับตาทิศทางเศรษฐกิจที่มีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอบ และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถยืนได้ในแดนบวก หลังติดลบเล็กน้อยในวันแรกของการเปิดตลาดวานนี้ ตลาดรอติดตามการออกรายงานการประชุมนโยบายการเงิน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ประชุมประจำเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ก่อนการเปิดเผยรายงานดังกล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินประจำเดือนธ.ค.ในคืนนี้ ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า รายงานการประชุมดังกล่าวจะระบุว่า เงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยสร้างความกังวลสูงสุดของเฟด หลังจากที่ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ พุ่งแตะระดับ 5.5% ในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ระดับ 2%
อย่างไรก็ดี มีการคาดกันว่า แม้จะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่เฟดจะเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ในการพิจารณานโยบายการเงิน โดยจะให้น้ำหนักมากขึ้นต่อความเสี่ยงจากนโยบายของเฟดที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนกลับมาซื้อหุ้นสะสม
โดยปีที่ผ่านมา เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 7 ครั้ง โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง สู่ระดับ 4.25-4.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี และในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550
อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันยังคงกังวลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจจะไม่เป็นไปตามคาดในปีนี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI วันนี้ดิ่งลงอีกกว่า 2% ใกล้หลุดระดับ 75 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมทั้งการพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีน