

.นักลงทุนจับตาสัญญาณรัสเซียอพยพทูต บ่งชี้สงครามยูเครนใกล้ประทุ
.มีแรงช้อนซื้อหุ้นเก็งกำไร หลังดัชนีตลาดร่วงแรงต่อเนื่อง และมาตรการคว่ำบาตรไม่แรง
.ตลาดจับตาประชุมเฟด คาด 100% ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้แน่นอน
เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 33,686.80 จุด เพิ่มขึ้น 90.19 จุด หรือ +0.27% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ระดับ 4,315.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.38 จุด หรือ +0.24% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ระดับ 13,439.31 จุด เพิ่มขึ้น 57.79 จุด +0.43%
นักลงทุนกังวลสงครามยูเครนใกล้เริ่มต้น หลังสำนักข่าวทาสส์ของทางการรัสเซียรายงานว่า รัสเซียได้เริ่มอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน ขณะที่สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ณ เวลาช่วงบ่ายวันนี้ตามเวลาในยูเครน ธงชาติรัสเซียไม่ได้โบกสะบัดอยู่เหนือสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงเคียฟอีกต่อไป
การอพยพเจ้าหน้าที่ทูตรัสเซียดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ยูเครนประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 30 วัน และประกาศเกณฑ์ทหารกองหนุนเพื่อรับมือกับการโจมตีจากรัสเซีย ขณะที่วุฒิสภารัสเซียมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน สามารถใช้กองทัพรัสเซียออกปฏิบัติการนอกประเทศเพื่อให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครน
ทั้งนี้ สหรัฐ สหภาพยุโรป อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และญี่ปุ่น ต่างก็ได้ออกมาตรการตอบโต้รัสเซียด้วยการคว่ำบาตรธนาคารบางแห่ง และนักธุรกิจบางราย ขณะที่เยอรมนีประกาศระงับการอนุมัติโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Nord Stream 2 เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้ไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนหน้า
ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยมีแรงซื้อหุ้นกลับบางส่วน หลังตลาดร่วงแรงหลายวันต่อเนื่อง นายอีเลม เซนยุซ นักกลยุทธ์ด้านมหภาคของบริษัท Truist ออกรายงานแนะนำให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นในขณะนี้ เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นมักดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เว้นแต่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ทั้งนี้ ราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่พุ่งขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจยุโรป แต่สหรัฐจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากมีแหล่งพลังงานภายในประเทศ ดังนั้นบริษัท Truist จึงยังคงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมากกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ
นักลงทุนยังคงจับตาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ ซึ่งอาจเร็วและแรงกว่าที่คาดไว้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี โดยFedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 15-16 มี.ค. รวมทั้งจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะแถลงต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2-3 มี.ค.