ดาวโจนส์ลบกว่า 250 จุด ดิ่งส่งท้ายปลายปี 65



  • นักลงทุนยังคงเทขายต่อเนื่อง ส่งท้ายวันสิ้นสุดตลาดหุ้นปี 65
  • ตลาดกังวลทิศทางเศรษฐกิจ-เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยปีหน้าไม่สดใส
  • นักวิเคราะห์ตลาดดิ่ง มองปีนี้ ซานต้า แรลลี่ ไม่มาตามนัด

เมื่อเวลาประมาณ 22.10 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 32,970.50 จุดลดลง  250.30 จุดหรือ -0.75%  ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 10,357.40 จุด ลดลง 120.68 จุดหรือ-1.15% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ระดับ  3,815.55 จุด ลดลง 33.73 จุด หรือ -0.88% 

ปี 2565 ถือเป็นปีแห่งความผันผวน และซบเซา ตลาดหุ้นสหรัฐทำสถิติดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากที่ดีดตัวขึ้น 3 ปีติดต่อกัน โดยขณะนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 8.58% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ส่วนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทรุดตัวลง 19.24% และ 33.03% ตามลำดับ

โดยหุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีนี้ โดยดิ่งลงกว่า 40% ขณะที่กลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น โดยพุ่งขึ้นเกือบ 58%

นักลงทุนคาดหวังในช่วงต้นปีนี้ว่า ตลาดหุ้นจะปรับตัวสดใส ขณะที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น หลังประเทศต่างๆผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ 

อย่างไรก็ดี หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ. ทำให้สหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ทั่วโลกเกิดการขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกเกิดความพลิกผัน และปรับตัวลงอย่างหนักในปีนี้

สำหรับทิศทางของตลาดในปีหน้า นักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่าตลาดยังคงถูกกดดันจากเงินเฟ้อ, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในช่องแคบไต้หวัน รวมทั้งการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจากที่จีนผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ และกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง

“สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ถูกผลักดันโดยเฟดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุล ส่วนในปีหน้า ผมคิดว่าเฟดจะไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาด แต่จะเป็นเรื่องของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยพื้นฐาน โดยบริษัทที่มีผลประกอบการดีจะดีดตัวขึ้น” นายแพทริก อาร์มสตรอง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Plurimi Wealth LLP กล่าว