ดาวโจนส์ยืนบวกไม่อยู่ ปิดลบ 173 จุด กังวลดอกเบี้ยขึ้น เศรษฐกิจชะลอตัว

Business team investment trading do this deal on a stock exchange. People working in the office.


.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวน นักลงทุนยังกังวลการขึ้นดอกเบี้ยส่งผลร้ายต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ
.มีแรงซื้อหุ้นสลับแรงขาย แต่สุดท้ายตลาดห้นสหรัฐปิดในแดนลบ
.นักลงทุนกังวลจีนกลับมาล็อกดาวน์ ทำเศรษฐกิจโลกชะลอ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 6 กย. ที่ 31,145.30 จุด ลดลง 173.14 จุด หรือ -0.55%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,908.19 จุด ลดลง 16.07 จุด หรือ -0.41% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 11,544.91 จุด ลดลง 85.96 จุด หรือ
-0.74%

ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน แกว่งตัวในแดนบวกลบสลับกัน แต่สุดท้ายยืนบวกไม่ไหวปิดในแดนลบ นักลงทุนกังวลว่าการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคบริการสหรัฐจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการที่จีนล็อกดาวน์เมืองสำคัญเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 56.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 55.5 จากระดับ 56.7 ในเดือนก.ค. โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน

นักลงทุนปรับเพิ่มการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดหลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 74.0% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 26.0% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ หลังจากจีนเดินหน้าล็อกดาวน์เมืองสำคัญ โดยเมืองเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน ประกาศขยายเวลาการล็อกดาวน์เพื่อปูพรมตรวจเชื้อโควิด-19 ครั้งใหญ่ให้กับประชาชน

ขณะที่เมืองกุ้ยหยาง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลกุ้ยโจว สั่งล็อกดาวน์ชุมชนใน 6 เขตจากทั้งหมด 10 เขต โดยประชาชนในเขตที่ถูกล็อกดาวน์จะได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านก็ต่อเมื่อไปรับการตรวจเชื้อโควิด-19 เท่านั้น ทั้งนี้ เมืองกุ้ยหยางมีประชาชนอาศัยอยู่ประมาณ 6.1 ล้านคน และเป็นที่ตั้งของบริษัทผลิตรถยนต์หลายแห่งซึ่งรวมถึงบริษัทจีลี ออโตโมบิล โฮลดิ้งส์

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 3.347% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 3.41% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ร่วงลง 1.11% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.10% หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวลง 0.96%

หุ้นแอปเปิล ลดลง 0.82% หลังมีรายงานว่า รัฐบาลบราซิลสั่งห้ามบริษัทแอปเปิลจำหน่าย iPhone 12 หรือ iPhone รุ่นที่ใหม่กว่า รวมทั้งห้ามจำหน่าย iPhone ทุกรุ่นที่ไม่ได้มาพร้อมกับที่ชาร์จแบตเตอรี โดยระบุว่าการที่แอปเปิลจำหน่าย iPhone ที่ขาดอุปกรณ์สำคัญถือเป็นพฤติกรรมที่จงใจในการเลือกปฏิบัติต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ ทางการบราซิลยังสั่งปรับบริษัทแอปเปิลเป็นเงิน 2.38 ล้านดอลลาร์

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 1.24% หุ้นเชฟรอน ปรับตัวลง 0.46% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 0.67% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 1.48%

หุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเครื่องใช้ภายในบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 18.42% หลังจากนายกัสตาโว อาร์แนล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัท ฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงมาจากตึกไทรเบกาในนครนิวยอร์ก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากบริษัทประกาศปิดสาขาจำนวน 150 สาขาและปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อพลิกฟื้นธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน

นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการประชุมประจำปีของสถาบันคาโต (Cato Institute) ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด