ดาวโจนส์ปิดลบ 73 จุด ส่งท้ายปีเสือดุ ดัชนีร่วงแรงสุดรอบ 11 ปี



.จบปี 2565 เสือลำบากอ่วมถ้วนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551

.นักลงทุนยังกังวล จับตาผลประกอบการบริษัท-ดอกเบี้ยขึ้นต่อปีหน้า-เศรษฐกิจถดถอย

.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 2 ม.ค. 2566 เนื่องในวันปีใหม่

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดส่งท้ายปีเก่าวันที่ 30 ธ.ค.ที่ 33,147.25 จุด ลดลง 73.55 จุด หรือ -0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,839.50 จุด ลดลง 9.78 จุด หรือ -0.25% ส่วนดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 10,466.48 จุด ลดลง 11.61 จุด หรือ -0.11%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันซื้อขายสุดท้ายของปี 2565 ยังคงปิดติดลบ จากความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจในปีหน้า โดยปีนี้เป็นปีที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งกระทบการเงินทั่วโลก โดยปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ, ความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย, สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีน

ดัชนีทั้ง 3 ตัวปิดตลาดร่วงลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2565 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561 โดยถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980

แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านการลงทุนของซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ชระบุว่า “ตลาดถูกกดดันจากปัจจัยลบต่าง ๆ อาทิ ภาวะชะงักงันด้านห่วงโซ่กสนผลิตที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 จากโควิด 19 การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ”

ชณะที่ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงภาวะถดถอย, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงสงครามยูเครน ตลอดจนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในจีน และความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน

หุ้นเติบโต (growth stocks) เผชิญแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเกือบตลอดทั้งปี 2565 และปรับตัวย่ำแย่กว่าหุ้นคุณค่า (value stocks) ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็นแนวโน้มที่พลิกผันจากที่เคยดำเนินมาเป็นส่วนใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นแอปเปิ้ล, อัลฟาเบท, ไมโครซอฟท์, อินวิเดีย, แอมะซอน และเทสลา เป็นหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักราว 28-66% ในปี 2565

อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังงาน เป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น 58% ในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีนี้ โดยดิ่งลงกว่า 40%

ทั้งนี้ บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 ท่ามกลางความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอาจยังคงปรับขึ้นต่อไป แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงได้เพิ่มความหวังเกี่ยวกับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดการเงินคาดว่า มีโอกาส 65% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.พ. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ 4.97% ในช่วงกลางปี 2566