ดาวโจนส์ปิดตลาดวันแรกปี65สดใสบวก 246จุด



.นักลงทุนซื้อหุ้นสะสมต่อเนื่อง คลายกังวลโควิดสายพันธุ์โอมิครอน
.ต่างชาติเชื่อมั่น หลังรัฐบาลของหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
.หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ-พลังงานปรับขึ้นหนุนดัชนีปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 3 ม.ค.65ที่ 36,585.06 จุด เพิ่มขึ้น 246.76 จุด หรือ +0.68%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,796.56 จุด เพิ่มขึ้น 30.38 จุด หรือ +0.64% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 15,832.80 จุด เพิ่มขึ้น 187.83 จุด หรือ +1.20%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นในการซื้อขายวันแรกของปี 2565 โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์โอมิครอน หลังจากผลการวิจัยบ่งชี้ว่า แม้โควิดสายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตและต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากราคาน้ำมัน WTI กลับมายืนที่เหนือระดับ 76 ดอลลาร์/บาร์เรลได้อีกครั้งเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 4.87% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดีดขึ้น 3.81% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.63% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 2.2

หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่นกลุ่มสายการบินและกลุ่มธุรกิจเรือสำราญปรับเพิ่มขึ้น โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 3.91% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 4.4% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ บวก 3.04% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป พุ่งขึ้น 6.41% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ พุ่งขึ้น 5.11%

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นเหนือระดับ 1.6% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 3.80% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 3.34% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้น 2.07% หุ้นเจพีมอร์แกน เพิ่มขึ้น 2.12% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ทะยานขึ้น 5.73%

ราคาหุ้นแอปเปิลที่พุ่งขึ้น 2.5% และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 182.01 ดอลลาร์ ส่งผลให้แอปเปิลกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนรายแรกของสหรัฐที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์

ขณะทีหุ้นเทสลา ทะยานขึ้นกว่า 13.53% หลังจากบริษัทรายงานว่าสามารถส่งมอบรถยนต์จำนวน 308,600 คันในไตรมาส 4/2564 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ ภาะเศรษฐกิจทรงตัว โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้นเพียง 0.4% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 57.7 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปี 2564 จากระดับ 58.3 ในเดือนพ.ย. โดยการร่วงลงของดัชนี PMI มีสาเหตุจากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต รวมทั้งการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน