

- ย้ำต้องเก็บกักน้ำในเขื่อนให้มากที่สุด
- หลังอ่างเก็บน้ำหลายแห่งปริมาณต่ำกว่าความจุอ่าง
- เผย 4 เขื่อนใหญ่ลุ่มเจ้าพระยา น่าเป็นห่วง
- คาดมีพายุเข้าไทย ทำให้มีฝนชุก 1 ลูก ช่วง ส.ค.นี้
นายสุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงสถานการณ์ฝนว่า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ค.นี้ เป็นต้นไป จะมีฝนตกชุกหลายพื้นที่ หลังจากฝนทิ้งช่วงไปตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย. โดย สสน.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่คาดการณ์สถานการณ์อากาศ ฝน และการเกิดพายุเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นข้อมูลบริหารจัดการน้ำได้วิเคราะห์ว่า ปี 2563 ฝนจะน้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยต่อเนื่องจากปี 2562 ทำให้น้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศมีน้อยกว่าความต้องการใช้
ทั้งนี้ปัจจุบันน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ 35 อ่าง มีการเก็บน้ำที่ปริมาตรน้ำต่ำกว่า 30% ของความจุอ่าง ซึ่งถือว่าน้ำน้อยอยู่ในขั้นวิกฤติ 25 อ่าง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลมีน้ำ 29% เขื่อนแม่งัดมีน้ำ 20% เขื่อนแม่กวงมีน้ำ28% เขื่อนกิ่วคอหมามีน้ำ 23 % เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนมีน้ำ 15% เขื่อนแม่มอกมีน้ำ 22 % เขื่อนลำตะคองมีน้ำ 28% เขื่อนลำพระเพลิงมีน้ำ 18% เขื่อนอุบลรัตน์มีน้ำ 13% เขื่อนจุฬาภรณ์มีน้ำ 29% เขื่อนห้วยหลวงมีน้ำ 18% เขื่อนลำนางรองมีน้ำ 16% เขื่อนมูลบนมีน้ำ 18% เขื่อนน้ำพุงมีน้ำ 21% เขื่อนลำแซะมีน้ำ 14% เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีน้ำ 10% เขื่อนกระเสียวมีน้ำ 17% เขื่อนทับเสลามีน้ำ 30% เขื่อนบางพระมีน้ำ 13% เขื่อนคลองสียัดมีน้ำ 11% เขื่อนขุนด่านปราการชลมีน้ำ 23% เขื่อนประแสร์มีน้ำ 16% เขื่อนนฤบดินทรจินดามีน้ำ 27% เขื่อนแก่งกระจานมีน้ำ 28% เขื่อนปราณบุรีมีน้ำ 26%
นายสุทัศน์ กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์น้ำ 4 เขื่อนใหญ่ลุ่มเจ้าพระยาน่าเป็นห่วงทั้งหมด โดยน้ำในเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยฯ และป่าสักฯ มีน้ำใช้การประมาณ 700 ล้านลูกบาศก์เมตรเศษเท่านั้น ทั้งนี้จากอัตราความต้องการใช้น้ำในฤดูแล้งซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 จนถึงกลางเดือน พ.ค. 2564 ในลุ่มเจ้าพระยามีความต้องการน้ำสำหรับอุปโภค–บริโภค รักษาระบบนิเวศ และการเกษตร 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้นเหลือเวลาอีกประมาณ 100 วัน จะสิ้นสุดฤดูฝนต้องเก็บกักน้ำเพิ่มให้ได้ 11,250 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากเก็บกักน้ำได้น้อยกว่านี้ ก็จะมีน้ำเพียงพอแค่สำหรับอุปโภค–บริโภคและรักษาระบบนิเวศ แต่ต้องงดการทำนาปรังและปลูกพืชฤดูแล้ง ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม ทาง สสน.ติดตามการเกิดพายุในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งปกติเดือนก.ค. จะมีพายุก่อตัว แล้วพัดเข้าขึ้นสู่ฝั่ง แม้พายุที่เกิดในช่วงนี้จะยังไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง แต่หากมีพายุก่อตัวหลายลูกบ่งชี้ว่าฝนจะมากซึ่งปรากฏว่าเดือนก.ค.ปีนี้ ยังไม่มีพายุ จึงคาดการณ์ว่าฝนช่วงปลายฤดู จะยังคงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยต่อเนื่องจากต้นปี อีกทั้งฝนจะหมดเร็ว จากปกติจะสิ้นสุดฤดูฝนประมาณกลางเดือนต.ค. แต่ปีนี้อาจสิ้นสุดประมาณปลายเดือนก.ย.เท่านั้น สำหรับพายุจากมหาสมุทรแปซิฟิกที่จะพัดเข้าสู่ไทย ปกติแล้วจะมีเฉลี่ยปีละ 1-2 ลูก แต่ปีนี้คาดว่าจะมี 1 ลูก ในช่วงเดือนส.ค.นี้
“สำหรับแนวทางบริหารจัดการน้ำในภาวะที่ฝนน้อย และน้ำที่เก็บกักในเขื่อนต่างๆ น้อยนั้น หากมีฝนตกลงมาต้องเก็บกักไว้ให้มากที่สุดและระบายน้ำเท่าที่จำเป็น รวมทั้งต้องปรับแนวทางการบริหารจัดการน้ำตามสถานการณ์น้ำฝน น้ำท่า และน้ำเก็บกัก ข้อห่วงใยอีกประการ คือ ปีนี้ฝนมาช้า ทำให้เกษตรกรทำนาช้ากว่าปกติ หากฝนดีตั้งแต่ต้นฤดู ก็จะสามารถทำนาได้ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค. แล้วเก็บเกี่ยวหมดไม่เกินปลายเดือน ก.ค. แต่ปีนี้หลายพื้นที่เลื่อนการปลูกข้าว โดยจะเก็บเกี่ยวปลายเดือนส.ค. ซึ่งคาดว่าจะมีพายุเข้ามา และบางพื้นที่อาจเกิดอุทกภัย ทำให้ผลผลิตเสียหาย ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเกษตรกรต้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด” นายสุทัศน์ กล่าว