
- นำปรับตัวใช้ระบบออนไลน์บุกอีคอมเมิร์ซ
- ชี้เห็นอนาคตที่ภาคเกษตร–อาหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (31 ต.ค.2563) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ร่วมกับ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดงาน Agro FEX 2020 ณ เซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา
ทั้งนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถึงเศรษฐกิจโลกประสบปัญหาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัญหาสงครามการค้า และโควิดแต่ในช่วงภาวะวิกฤตประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถจัดการวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้โดยเฉพาะโควิดแก้ไขเป็นที่ยอมรับที่หลายประเทศในโลกจะนำไปใช้ในการแก้ปัญหา และช่วงที่ผ่านมาก็สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ดีพอสมควร ตัวเลขส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าหลายประเทศสำหรับการส่งออกของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ หดตัวร้อยละ 7.33 ถึงแม้ว่าการส่งออกยังคงหดตัว แต่ก็เป็นการหดตัวแบบขาขึ้น มีพระเอกตัวจริง 2-3 ตัวคือ 1.ภาคการเกษตร 2.อาหาร เรามียุทธศาสตร์ ”ตลาดนำการผลิต” จากนโยบายเกษตรผลิตพานิชย์ตลาด เป้าหมายเพิ่ม GDPให้กับประเทศ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยมีพันธกิจร่วมกัน 4 เรื่อง

1.สร้าง Single Big Data เป็นข้อมูลเดียวที่ยอมรับร่วมกัน 2.แพลตฟอร์มกลาง มีแพลตฟอร์มของประเทศไทยใช้เองและเป็นที่ยอมรับแทนที่จะต้องไปพึ่งแพลตฟอร์มต่างประเทศ 3.สร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ทั้งภาคอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตรรวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารและอื่นๆให้เกิดขึ้นต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เอาชนะข้อจำกัดกติกาโลกต่อไปได้ในอนาคต 4.พัฒนาคนและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้สามารถเดินหน้าประสบความสำเร็จในวิสัยทัศน์ “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า เราจะต้องจับมือทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับเอกชน ใช้กลไก กรอ.พาณิชย์ และทางการตลาด 2 กลไก คือ พาณิชย์จังหวัดกับทูตพาณิชย์ ต้องปรับบทบาทตนเองต้องไปขายของให้กับประเทศ รูปแบบทางการตลาดก็ต้องเปลี่ยนเป็นอีคอมเมิร์ซ เป็น New Normal ที่เราจะต้องทำและพัฒนารูปแบบมากขึ้น ต่อไปในอนาคตการค้าออนไลน์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและการทำข้อตกลงทางการค้าทั้งระบบทวิภาคีที่เรียกว่า FTA หรือผหุภาคี ในอนาคตอีคอมเมิร์ซจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในข้อตกลงมากขึ้น สำหรับการประชุม RCEP อีคอมเมิร์ซเป็นข้อบทอันหนึ่งที่มีความสำคัญมากที่ถูกผลักดันโดยมหาอำนาจทางเศรษฐกิจให้สามารถค้าขายโดยระบบอีคอมเมิร์ซแบบไม่มีพรมแดนไร้ข้อจำกัด
“เราต้องพร้อมสำหรับการแข่งขันทั้งวันนี้และอนาคตวันข้างหน้า การสร้างองค์ความรู้และให้องค์ความรู้กับผู้ประกอบการของเราจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จึงมีโครงการมีหลักสูตรในการอบรมกับเกษตรกรให้มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเรื่องการค้าระบบออนไลน์ SME มีหลักสูตรอบรมให้เข้าใจว่าอีคอมเมิร์ซทำอย่างไร เด็กที่เรียนในมหาวิทยาลัย Gen Z อายุ 19-20 ปี กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายโครงการชัดเจนเราจับมือกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศล่าสุดจับมือกับมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ 7 มหาวิทยาลัย จัดอบรมหลักสูตรอีคอมเมิร์ซหรือการค้าออนไลน์เพื่อสร้างเด็กไทย Gen Z ให้เป็น CEO ในอนาคต หรือที่เรียกว่า CEO Gen Z ตั้งเป้าหมายจะทำทั่วประเทศเปิดในภาคเหนือ1,500 คน ต่อไปจะไปในภาคอื่นๆ จะทำให้ได้ในหนึ่งปี 12,000 คน เพื่อสร้าง CEO Gen Z ให้เป็นทัพหน้าในการทำการค้าทั้งในประเทศและเป็นทัพหน้าบุกตลาดต่างประเทศนำเงินเข้าประเทศไทยของเราโดยใช้ระบบอีคอมเมิร์ซ ” นายจุรินทร์ กล่าว
นอกจากนี้การพัฒนารูปแบบไปถึงขึ้นมีแยกส่วนโดยใช้รูปแบบการตลาดที่เรียกว่า ไฮบริด คือ รูปแบบผสมเหมือนรถยนต์ เพื่อสร้างยอดขายทำรายได้เข้าประเทศจัดแสดงสินค้าในประเทศ ต้องจัดแบบ On Ground ในประเทศไทยและเชิญผู้นำเข้าในแต่ละประเทศโดยเซลล์แมนประเทศเป็นตัวประสานงาน เอาตัวอย่างสินค้าไปให้ดู ค้าขายเจรจาทำสำเร็จมาแล้วหลายงานเป็นนวัตกรรมทางการตลาดรูปแบบใหม่ที่ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มและรูปแบบไฮบริทนี้จะเป็นต้นแบบของโลกทางการตลาดต่อไปเป็นสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ภาคภูมิใจ ทำให้ตัวเลขการส่งออกติดลบน้อยลง เพราะเราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคเอกชน

นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับภาคการเกษตรเพราะเรามีตัวเลขส่งออกที่ยังทำได้ในช่วงวิกฤติโควิด ราคาสินค้าการเกษตรในช่วงปีที่ผ่านมาจึงดีเกือบทุกตัว ดีพอที่จะให้เกษตรกรยังชีพได้สำหรับข้าวตอนนี้กรมการค้าภายในกำหนดมาตรการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 พฤศจิกายน จะมีมาตรการชะลอการขายข้าวแล้วจะจ่ายเงินชดเชยให้เกวียนละ 1,500 บาท เพื่อชะลอการปล่อยข้าวออกตลาดแล้วทำให้ข้าวราคาตก เพื่อตรึงราคาและในระยะยาวเตรียมยุทธศาสตร์ข้าวเสร็จแล้วสำหรับประเทศไทยต่อจากนี้ไปเราจะมียุทธศาสตร์ข้าว 5 ปีปี 63-67 จะเข้า นบข.ที่ท่านนายกฯเป็นประธานในเวลาไม่กี่วัน โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิค” เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลทำงานอย่างมีทิศทางและมียุทธศาสตร์ที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม และที่สำคัญพืชผลทางการเกษตรทั้งหมดถ้าราคาตกลงรัฐบาล โดยนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์กำหนดเป็นเงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาลคือ นโยบายประกันรายได้เดินหน้าไปแล้วหนึ่งปีและปีที่สองปีนี้กำลังจะเดินหน้าตอนนี้ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพดผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วเหลือข้าวกับยางพารา โดยจะเข้า ครม.วันที่ 3 พ.น.นี้ ที่จังหวัดภูเก็ต แล้วจะลงมือปฏิบัติได้










