คิกออฟ! วิ่งฉิว120 กม./ชม…นำร่องถนนสายเอเชีย “ช่วงบางปะอิน-ทางต่างระดับอ่างทอง”แต่น้ำจิ้มเหยียบมิดไมค์ได้แค่50กม.



คิกออฟ! วิ่งฉิว 120 กม./ชม. ถนนสายเอเชีย “ช่วงทางหลวงบางปะอิน-ทางต่างระดับอ่างทอง” ระยะทาง 50 กม. ภายในเดือนนี้ เร่งติดตั้งป้าย-ตีเส้นจราจร ด้าน “ศักดิ์สยาม” สั่ง ทล.-ทช. สแกนถนน 4 เลน-มีเกาะกลางทั่วประเทศ 12,000 กม. ก่อนทยอยประกาศใช้ต่อไป พร้อมถก สตช. กำหนดบทลงโทษ เคาะสรุปวันที่ 15 มี.ค.นี้ ฟาก “ขนส่งทางบกฯ” เตรียมออกประกาศความผิดไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร มีผลต่อการต่อใบอนุญาต พร้อมวอน ปชช. รักษากติกา-กฎระเบียบ มุ่งเน้นความปลอดภัย ด้านทางหลวงจ่อเปิดทางหลวงหมายเลข 32 (อยุธยา-อ่างทอง)และระยะที่3 จะเริ่มในปี 65 ที่ทางหลวงหมายเลข 32 (ชัยนาท-นครสวรรค์) และทางหลวงหมายเลข35 (สมุทรสงคราม-ปากท่อ)ต่อทันที

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดของรถยนต์บนถนนทางหลวงให้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมง (ชม.) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในปัจจุบัน และความปลอดภัยในทุกการเดินทางของประชาชนว่า ตนได้ลงนามในกฎกระทรวงเพื่อกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดิน หรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564 ซึ่งได้มีการประกาศผ่านเว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษาเพื่อเผยแพร่วานนี้ (10 มี.ค. 64) ซึ่งในขั้นตอนต่อไป กรมทางหลวง (ทล.) จะเป็นผู้ออกประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน เพื่อกำหนดรายละเอียดสายทางที่จะบังคับใช้ความเร็วสูงสุดใหม่ต่อไป และจะเริ่มเมื่อไหร่ โดยคาดว่าจะนำร่องเส้นทางแรก คือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (ถนนสายเอเชีย) ช่วงบริเวณหมวดทางหลวงบางปะอิน-ทางต่างระดับอ่างทอง กม. ที่ 4+100-50+000 ระยะทางประมาณ 50 กม. ภายในสิ้นเดือน มี.ค.นี้ และจะทยอยประกาศเพิ่มในอนาคต พร้อมกันนี้ ได้เตรียมจ้างบริษัทที่ปรึกษา หรือสถาบันการศึกษา เพื่อประเมินผลการดำเนินการดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องการดำเนินนโยบายดังกล่าวให้แล้วเสร็จครบทั้งหมดภายในปี 64

ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ไปบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสำรวจเส้นทางถนนของแขวงทางหลวง และแขวงทางหลวงชนบททั่วประเทศกว่า 12,000 กม. ที่มี 4 ช่องจราจร มีเกาะกลางถนน และไม่มีจุดกลับรถ หรือจุดตัดเสมอเส้นทางว่า มีเส้นทางใด และช่วงไหนบ้าง ที่มีความเหมาะสมสามารถประกาศให้ใช้ตามกฎกระทรวงฯ ได้ และให้สรุปส่งข้อมูลมาให้กระทรวงภายในวันพรุ่งนี้ (12 มี.ค. 2564) ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในวันที่ 15 มี.ค.นี้ เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป รวมถึงในการประชุมดังกล่าว จะมีการพิจารณาร่วมกับ สตช. ในการกำหนดบทลงโทษตามกฎหมาย ประกอบกับการออกประกาศ ขบ. ในความผิดไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร สามารถมีผลต่อการต่อใบอนุญาต

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ พร้อมทั้งติดตั้งป้ายจราจรบอกความเร็วในเส้นทางที่ประกาศตามกฎกระทรวงฯ ส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้นั้น ได้มอบหมายให้หน่วยงานประสานมายัง ขบ. โดยจะใช้งบประมาณจากกองทุนความปลอดภัยทางถนน (กปถ.) มาดำเนินการ

สำหรับเส้นทางที่ใช้ความเร็วตามที่กฎกระทรวงกำหนดนั้น ก่อนถึงการเข้าสู่เขตจำกัดความเร็ว จะมีป้ายแจ้งเตือน รวมถึงจะมีการตีเส้นจราจรที่ตีขวางบนถนนเป็นแถบๆ (Rumble Strip) ใช้สำหรับเตือนคนขับรถถึงลักษณะสภาพถนนที่เปลี่ยนไป โดยจะมีการสั่นสะเทือนบนตัวรถ เพื่อแจ้งว่า ได้เข้าสู่เขตใช้ความเร็วเป็นพื้นสีเขียว และก่อนออกจากช่วงบังคับใช้ความเร็ว จะมีเป็นพื้นสีเหลือง และเมื่อออกจากเขตบังคับใช้จะเป็นสีแดง นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ ทล. และ ทช. สำรวจ เพื่อสร้างสะพานลอย เพื่อให้ประชาชนเดินข้าม รวมถึงรถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซต์) และรถจักรยาน ในส่วนขแงรถยนต์ให้ใช้สะพานกลับรถ

ทั้งนี้ รายละเอียดของกฎกระทรวงดังกล่าว ได้กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทไว้ดังนี้ 1.รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถโดยสารมีที่นั่งคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม., รถขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กม./ชม., รถจักรยานยนต์ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. เว้นแต่รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ลูกบาศก์เซนติเมตรขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม.

ขณะที่ รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม., รถโดยสารที่มีที่นั่งโดยสารเกิน 7 คนแต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม., รถแทรกเตอร์ รถบดถนน หรือรถใช้งานเกษตรกรรม ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม. และรถอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ทั้งนี้ หากรถอยู่ในช่องเดินรถขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. เว้นแต่ในกรณีที่ช่องเดินรถนั้น มีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น ทั้งนี้ หากในทางเดินรถมีเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นเขตอันตราย หรือเขตให้ขับรถช้าๆ ให้ลดความเร็วลง และเพิ่มความระมัดระวังขึ้นตามสมควร และในกรณีที่ทางเดินรถ หรือช่องเดินรถใด มีเครื่องหมายจราจรกำหนดอัตราความเร็วต่ำกว่าอัตราที่กำหนด ให้ใช้ความเร็วไม่เกินอัตราความเร็วที่กำหนดไว้

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้(12มีค)ทางหลวงและ ทางหลวงชนบท จะเสนอเส้นทางเพิ่มเติมทั่วประเทศที่จะให้รถสามารถวิ่งทำความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม.บนถนน 4ช่องจราจรขึ้นไปกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และในวันจันทร์ที่ 15 มี.ค.จะสรุปว่ามีเส้นทางไหนบ้างที่สามารถดำเนินการได้เพิ่ม เบื้องต้นในปี 64 นอกจากนำร่องที่เส้นทางทางหลวงหมายเลข 32 (อยุธยา-อ่างทอง)ระยะทาง 50 กม.แล้ว ในระยะที่ 2 จะเริ่มที่ทางหลวงหมายเลข 32 (อยุธยา-อ่างทอง) ระยะทางกม. 50-113 , ส่วนระยะที่3 จะเริ่มในปี 65 ที่ทางหลวงหมายเลข 32 (ชัยนาท-นครสวรรค์) ระหว่าง กม.115-150 และทางหลวงหมายเลข35 (สมุทรสงคราม-ปากท่อ)ระหว่างกม.ที่ 60-82

อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่อไปทางหลวงจะเร่งสรุปเส้นทางหลวง ที่จะให้วิ่งไม่เกิน 120 กม./ชม.เพิ่มเพื่อให้ในปี 64 มีเส้นทางเพิ่มขึ้นขณะเดียวกันทล. จะเร่งทำป้ายบอกความเร็ว ป้ายอัจฉริยะอัตโนมัติ รวมถึงการทำเครื่องหมายบนผิวทางถนนหลวง เพื่อให้ทราบว่าเลนดังกล่าวเข้า และออก สามารถวิ่งทำความเร็วได้ไม่เกิน 120 กม./ชม.ได้ นอกจากนั้น ทล.จะเร่งสำรวจจุดเพื่อสร้างสะพานลอยคนข้าม และ มอเตอร์ไซค์ข้าม ในเส้นทางดังกล่าวเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความปลอดภัยนั้น จะใช้งบประมาณจากจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน(กปถ.)