คาด “เราชนะ” มีผู้ได้รับเงิน 35 ล้านคน “อาคม” ชี้ “วินมอไซค์-แท็กซี่-คนส่งอาหาร” ลงทะเบียนได้



  • เล็งต่อ “คนละครึ่ง” เฟส 3
  • จ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า สำหรับโครงการ “เราชนะ” ที่แจกเงิน 3,500 บาท จำนวนร 2 เดือน รวมกัน 7,000 บาทนั้น ขณะนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างสรุปหลักเกณฑ์ เบื้องต้น โดยจะคัดกรองผู้ที่ไม่มีสิทธิออกไปก่อน เช่น ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และแรงงานที่อยู่ในระบบ ซึ่งคาดว่าจะเหลือกลุ่มที่จะได้รับสิทธิประมาณ 30-35 ล้านคน

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีข้อมูลในระบบ เช่น ผู้ถือบัตรสวัสดิการแหง่รัฐ จำนวน 14 ล้านคน  ทางรัฐบาลจะโอนเงินให้เลย ส่วนกลุ่มที่อยู่ในโครงการคนละครึ่งนั้น จะต้องมีการคัดกรองอีกครั้ง เพราะในกลุ่มนี้ จะมีกลุ่มที่อยู่ในระบบแรงงานด้วย สำหรับกลุ่มที่ไม่อยู่ในระบบ จะเปิดให้มีการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น โดยการโอนเงินนั้น จะโอนผ่านระบบพร้อมเพย์

“ส่วนพ่อค้า แม่ค้า แม้จะอยู่ในโครงการคนละครึ่ง แต่มีรายได้น้อย ก็สามารถลงทะเบียนรับเงินผ่านโครงการ “เราชนะ” ได้ รวมไปถึงวินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ ผู้ส่งอาหารเดลิเวอรี ก็สามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ ซึ่งวิธีการลงทะเบียนในรอบนี้จะพยายามไม่ทำให้ยุ่งยากเหมือนที่ผ่านมา จะใช้เฉพาะข้อมูล และเลขบัตรประชาชน”

นอกจากนี้รัฐบาลยังเตรียมพิจารณาเปิดโครงการ “คนละครึ่ง” ในระยะที่ 3 หรือ เฟส 3 หากเห็นว่า โครงการดังกล่าวสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์กับประชาชนได้ โดยจะขอพิจารณาผลของมาตรการในเฟสที่หนึ่ง และเฟสที่สอง ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนรวมกันจำนวน 15 ล้านสิทธิ์ก่อน   

ขณะที่การดำเนินการโครงการคนละครึ่งยังอยู่ในช่วงของเฟสที่สอง ซึ่งยอดการใช้จ่ายในโครงการนี้ก็ยังมีต่อเนื่องแม้จะมีโควิด-19ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังเตรียมที่จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการในรอบเก็บตกอีกราว  1 ล้านสิทธิในช่วงปลายเดือนม.ค.นี้ ซึ่งเป็นจำนวนสิทธิ์ที่เหลือจากเฟสแรกและเฟสสองรวมกัน

“เราไม่เคยบอกว่า จะไม่ต่อหรือไม่ทำต่อ ต้องดูว่า กำลังซื้อประเทศมีหรือไม่ ประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่ ถ้าได้ประโยชน์รัฐบาลก็พร้อมพิจารณา แต่ทำให้ประชาชนตื่นตัว รู้จักใช้เทคโนโลยี การจ่ายเงินผ่านเป๋าตังโดยใช้มือถือ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่ให้ความรู้ด้านดิจิทัลแก่ประชาชนด้วย”

สำหรับคนละครึ่งในเฟสแรกเรารัฐใช้เงินไปประมาณ 30,000 ล้านบาท ส่วนอีกครึ่งนึงประชาชนจ่ายประมาณ 30,000 ล้านบาท และแม้จะเป็นโครงการคนละครึ่ง แต่ในข้อเท็จจริงแล้วประชาชนจะจ่ายมากกว่า 1% ซึ่งเท่าที่ดูตัวเลขการใช้จ่ายในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนจ่าย 51% รัฐบาลจ่าย 49% แสดงว่า มาตรการนี้ทำให้ประชนกินอิ่ม หมายความว่า เพิ่มเงินอีกเล็กน้อยซึ่งสามารถจ่ายได้ ก็ช่วยให้การใช้จ่ายประเทศดีขึ้น