คลายล็อกวันแรก “บิ๊กตู่” ขอความร่วมมือปฎิบัติตามมาตรการเคร่งครัด ส่วนเคอร์ฟิวขอดูก่อน



เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 1 ก.ย.2564 ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการคลายล็อกเปิดกิจการ กิจกรรมเพิ่มเติมในวันเดียวกันนี้ ว่า วันนี้เป็นการดำเนินการตามมาตรการที่ออกมาวันที่ 1 ก.ย. ต้องมีส่วนสัมพันธ์ระหว่างรัฐและบรรดาภาคธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง สมาคมต่างๆต้องช่วยกัน และผู้บริโภคคือประชาชนต้องช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการด้วย ถ้าไม่ร่วมมือทั้งกันจะเดินไปได้ยาก และจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาอีกเป็นที่น่าเสียใจกันทุกคน ก็เพียงแต่ขอความร่วมมือให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการ ตามกติกาอย่างเคร่งครัด ถ้ามันดีขึ้น ต่อไปก็จะทำอะไรได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต ทุกอย่างต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ร่วมมือกันทำ

เมื่อถามว่ามาตรการเคอร์ฟิวที่ยังคงอยู่ มองว่ายังได้ผลอยู่ใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ตอนนี้ก็ต้องพิจารณาความเหมาะสมอยู่ ขอดูระยะนี้ไปก่อนว่าอาจจะมีให้มากขึ้นหรือเปล่า ตราบใดที่ยังมีการเคลื่อนไหวในกลางคืน ถ้าดึกๆไปไหนกัน ไปอ่านหนังสือหรืออะไร ก็ไปสถานที่ท่องเที่ยวกัน ก็ยังมีปัญหาอยู่ตรงนี้ สมาคมที่รับผิดชอบก็ต้องช่วยตนไปกำกับดูแลที่ท่านรับผิดชอบ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกลางคืน ผับ บาร์ ต่างๆต้องคุยกัน และตนได้ให้ช่องทางนี้ไปคุยกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อยู่แล้ว และศบค.ก็ไม่ใช่จะตัดสินใจหรือสั่งได้ ตนก็สั่งไม่ได้ ต้องข้อมูลที่เขาพิจารณามาแล้วว่าเขาต้องการให้รัฐบาลดูแลตรงนี้ตรงนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปที่กระทรวงสาธารณสุข ให้คณะแพทย์ดูแลว่ามีความเสี่ยงไหม นี่คือการทำงานในลักษณะนี้ อย่างที่เขาหาว่านายกฯสั่งทุกเรื่อง มันสั่งไม่ได้หรอก ถ้ามันไม่ได้ข้อมูลจากทางสาธารณสุข มันตัดสินใจไม่ได้ ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วใครจะรับผิดชอบ ก็รับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด ที่เขาพูดขึ้นมาในสภาเมื่อวันที่ 31 ส.ค.เหมือนเขาไม่เข้าใจเรื่องระบบการบริหาร นายกฯก็พูดหลายครั้งแล้ว

เมื่อถามว่า ให้คำมั่นได้หรือไม่ว่าระบบสาธารณสุขไทยรับมือกับสถานการณ์โควิดได้ นายกฯ กล่าวว่า ถามว่าระบบสาธารณสุขไทยรับได้หรือไม่ ตนยืนยันว่ารับได้ คำว่ารับได้คือก่อนหน้านี้เราลำดับ 6 มีคนมาเที่ยวประเทศไทย มารักษาพยาบาลประเทศไทยหลายกลุ่ม หลายประเทศเป็นจำนวนมาก เรื่องรักษาพยาบาลเป็นรายได้ให้ประเทศ โรคทุกโรครักษาได้หมด หรือดีขึ้น ราคาถูกกว่าที่อื่น แต่วันนี้ต้องเข้าใจสถานการณ์ เช่นคนเคยมีรักษาพยาบาลในสถานการณ์ปกติ สมมติ 100 คน 100% รักษาพยาบาลส่วนใหญ่หายหมดในระบบสาธารณสุข เราดูแลได้ในโรคปกติ แต่อีกโรคที่มาก็ทราบดีว่ามีความรุนแรง ความรวดเร็ว และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แน่นอนขีดความสามารถลดลง เพราะเราไม่ได้มีความพร้อมตรงนี้เพื่อรองรับคนเป็นแสนเป็นล้านตรงนี้ เราถึงใช้เวลาเป็นหลายเดือนด้วยกัน ตั้งแต่เริ่มต้นก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ระดับที่ 1,2,3 เพิ่มระบบขึ้นมา Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) ตามลำดับ

“ถ้าเราไม่มั่นใจคนของเรา ไม่มั่นใจระบบสาธารณสุขเรา วันนี้ทำไมไม่ดูตัวเลข คนรักษาหายเท่าไหร่ ถ้าเอาตัวเลขคนป่วยคนตายมาพูดข้างเดียว มันไม่เป็นธรรม ข้าราชการเขาเสียหาย หมอ แพทย์ พยาบาลเขาเสียใจ เขาทำกันแทบตาย วันนี้ติด ถึงจะมีติดแน่นอนมันต้องติดพันธุ์ใหม่ที่มันเร็ว ก็ต้องมาดูในเรื่องของการเคอร์ฟิว ไม่ให้มีการเคลื่อนไหวจนมากเกินไป ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว เราห้ามไม่ได้ คนก็อย่าทำอะไรที่สบายใจ อย่าลืมไปว่าเป็นปัญหา พอภาพรวมเกิดขึ้น ก็ต้องแก้ปัญหา แก้ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่แบบนี้ จริงๆ ถ้าเราร่วมมือกันทั้งหมด ตนไม่โยนความผิดให้ใคร แต่ก็ขอความเป็นธรรมให้รัฐบาล ให้สาธารณสุขเขาหน่อยทุกเรื่อง” นายกฯ กล่าว