“ก้าวไกล”เปิดนโยบาย “ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า”กระจายอำนาจเพิ่มงบท้องถิ่น 2 แสนล้านต่อปี



  • จัดประชามติยกเลิกส่วนภูมิภาค
  • เลือก”นายกจังหวัด” ทั่วประเทศ
  • “ธนาธร”ฝากก้าวไกลทำน้ำประปาดื่มได้

วันที่ 26 พ.ย.2565 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมกันแถลงนโยบายด้านท้องถิ่นของพรรคก้าวไกล

โดยนายธนาธร กล่าวว่า คณะก้าวหน้าขอนำเสนอผลงานที่ประสบความสำเร็จจากการทำงานด้านท้องถิ่น เราเห็นว่าการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติต้องทำร่วมกัน จึงได้ทำโครงการต่างๆในระดับท้องถิ่น โครงการที่ประสบความสำเร็จ อาทิ โครงการน้ำประปาดื่มได้ ในพื้นที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด คาดว่าปี 66 จะทำได้ในอีก 4 พื้นที่ เราหวังว่าการทำงานของคณะก้าวหน้าจะขยายการให้บริการน้ำประปาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้มีคุณภาพมากขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตามโครงการน้ำประปาดื่มได้จะสำเร็จได้ต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งพรรคก้าวไกลจะอาสาทำโครงการน้ำประปาดื่มได้ในการเลือกตั้งสมัยหน้า

นอกจากนี้ยังมีโครงการ “อาจสามารถสะออน” เป็นมหกรรมงานศิลปะที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ เพื่อให้บรรยากาศกลับมาครึกครื้นหลังโควิด–19 โครงการดังกล่าวจะจัดขึ้นวันที่ 10–11 ธ.ค.65 โครงการอ่านปั้นฝัน เราทำงานกับ 14 เทศบาล ใน 6 จังหวัด ในการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก 47 ศูนย์ ด้วยการเอานิทานมอบให้ศูนย์เด็กเล็ก เพื่อส่งเสริมจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ นิทานที่ดีทำให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพได้ หลังจากทำโครงการนี้มาแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือเด็กๆมีสมาธิมากขึ้น และก้าวร้าวน้อยลง

นายธนาธร ยังกล่าวถึงโครงการเบบี้บ็อกซ์ หรือกล่องรับขวัญ มีอปท. 3 แห่ง ที่ร่วมโครงการนี้ เบบี้บ็อกซ์คือกล่องที่มอบให้แก่คุณแม่ ภายในกล่องมีอุปกรณ์ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก เป็นการลดภาระครัวเรือน ให้อปท.ได้เข้าไปดูแลเด็กๆได้ตั้งแต่แรกเกิด เราหวังว่าปีหน้าจะสามารถนำโครงการกล่องรับขวัญไปใช้ในเทศบาลและอบต.ได้มากกว่านี้ โครงการห้องปลอดภัย มาจากความตระหนักว่าศูนย์เด็กเล็กต้องมีความปลอดภัย ไม่ให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมซ้ำอีก ลักษณะของโครงการจะมีห้องกันภัยภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คาดว่าช่วงเดือนม.ค. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาล ต.เก่ากลอย อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู จะติดตั้งห้องปลอดภัยสำเร็จ

“การทำงานร่วมกันของคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล จะทำให้เราเข้าใจปัญหาหน้างาน เพื่อนำเครื่องมือมาแก้ปัญหาเชิงระบบ และเชิงพื้นที่ เกิดเป็นนโยบายกระจายอำนาจยุติรัฐรวมศูนย์ หากทำได้ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ละตำบลจะแข่งกันพัฒนา จึงหวังว่าทุกท่านจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และสนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป” นายธนาธร กล่าว

ทางด้าน นายพิธา กล่าวว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกลมีนโยบาย “บ้านโยบายก้าวไกล ประเทศไทยก้าวหน้า” โดยมี 9 เสาหลัก ก่อนหน้านี้พรรคแถลงไปแล้ว 2 เสาหลัก คือ การเมืองก้าวหน้า และสวัสดิการก้าวหน้า วันนี้จะพูดถึงเสาหลักที่ 3 การกระจายอำนาจก้าวหน้า ซึ่งประเด็นการกระจายอำนาจเรามองไปถึงเรื่องการเอาทหารออกจากการเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเราคิดว่าการกระจายอำนาจถือเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงแก้ปัญหาเมืองโตเดี่ยว ซึ่งที่ผ่านมา 87% ของงบประมาณประเทศกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง

ทั้งนี้หากมีการกระจายอำนาจจะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น่วยลดความเหลื่อมล้ำ ลดโอกาสการคอร์รัปชั่น ทำให้การบริการสาธารณะรวดเร็ว ถูก และดีขึ้น โดยหากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ภายใน 100 วัน จะยกเลิกคำสั่งคสช. คืนอำนาจการคัดเลือกบุคลากรให้กับท้องถิ่น และช่วง 1 ปีแรกเราจะทำประชามติถามประชาชน ว่าเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจหรือไม่ เทอมแรกของรัฐบาลพรรคก้าวไกล มีความจำเป็นต้องเติมทรัพยากรให้ผู้บริหารท้องถิ่น โดยที่เราตั้งใจจะเปลี่ยนงบประมาณในประเทศเสริมให้ท้องถิ่นปีละ 2 แสนล้านบาทต่อปี

ส่วนนายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า นโยบายทุกจังหวัดไทยก้าวหน้าประกอบด้วย 4 ข้อสำคัญ ได้แก่ 1.การวางโรดแม็พไปสู่การเลือกตั้ง “นายกจังหวัด” ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุดในจังหวัดแทนผู้ว่าราชการที่มาจากการแต่งตั้ง 2. การเพิ่มงบจังหวัดจัดการตนเอง 3.การปลดล็อกกฎระเบียบให้ท้องถิ่นจัดทำบริการสาธารณะและแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่ได้ทั้งหมด และ 4.การเพิ่มอำนาจประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของท้องถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน

พรรคก้าวไกลขอยืนยันกับข้าราชการทุกคนที่สังกัดส่วนภูมิภาค และสังกัดส่วนท้องที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ว่าทุกตำแหน่งแห่งหนจะยังคงอยู่ ทุกสิทธิประโยชน์จะยังคงเดิม ทุกความก้าวหน้าจะยังคงมี โดยการปฏิรูประบบราชการครั้งนี้ เป็นเพียงการเปลี่ยนการทำงานของข้าราชการบางส่วนในแต่ละพื้นที่ จากเดิมที่ทำงานแยกกันภายใต้อธิบดีกรมหรือปลัดกระทรวงที่อยู่ที่ กทม.เปลี่ยนเป็นทำงานร่วมกันภายใต้ผู้บริหารท้องถิ่นที่ประชาชนเลือกในพื้นที่โดยตรง โดยจะเป็นการออกแบบระบบราชการที่ทำให้ศักดิ์และสิทธิของข้าราชการทุกสังกัดเท่าเทียมกัน มีกลไกรองรับการถ่ายโอนโยกย้ายระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น

“ผมเชื่ออย่างสุดใจว่าภารกิจนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ทุกจังหวัดในประเทศไทยก้าวหน้าถ้าประชาชนเป็นคนเลือกนายกจังหวัด และหากเลือกแล้วจะไม่มีรัฐบาลไหนเปลี่ยนกลับมาให้มีผู้บริหารจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้งได้อีก นี่จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่ไม่มีวันย้อนกลับได้” นายวรภพกล่าว