

- เผยอยู่ระหว่างคำนวณอัตราชดเชยที่เหมาะสม
- ควบคู่หานวัตกรรมทดแทนการใช้สารเคมี
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า วันนี้ (10 ส.ค.) ได้ตอบกระทู้คำถามของ พล.อ.ดนัย มีชูเวท สมาชิกวุฒิสภา ถึงเรื่องมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการห้ามใช้สารพาราควอตและคลอไพริฟอส ซึ่งขณะนี้คณะทำงานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรฯ ที่มีปลัดกระทรวงเป็นประธานได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) คำนวณอัตราการชดเชยที่เหมาะสมให้เกษตรกร นอกจากนี้ยังมีแนวทางสนับสนุนเครื่องจักรกล รวมทั้งการบริหารจัดการเงินทุนเพื่อซื้อเครื่องจักรกลกำจัดวัชพืช
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะกำหนดมาตรการแนวทาง และวิธีปฏิบัติในการกำจัดวัชพืชที่ทดแทนการใช้สารเคมี การทดสอบ สาธิต และถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร ส่วนกรมวิชาการเกษตรเร่งจัดทำเอกสารวิชาการเกี่ยวกับการกำจัดศัตรูพืช โดยใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและสารเคมีอื่น โดยเปรียบเทียบวิธีการใช้และค่าใช้จ่าย ส่วนที่กังวลว่า ต้องพึ่งพาวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศซึ่งบางประเทศยังใช้สารเคมีที่ไทยยกเลิกแล้วนั้น กรมปศุสัตว์เร่งส่งเสริมเกษตรกรให้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์คุณภาพดีเพื่อลดการใช้อาหารข้นซึ่งประกอบด้วยถั่วเหลืองและข้าวโพดถึง 20%
น.ส.มนัญญา กล่าวยืนยันว่า ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นั้น ทางกฎหมายมีผลปฏิบัติแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2563 ส่วนกระทรวงสาธารณสุขเตรียมออกประกาศ “สินค้านำเข้าเมื่อตรวจวิเคราะห์แล้ว ต้องไม่มีการปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4” ดังนั้น การนำเข้าถั่วเหลืองกับข้าวโพดทั้งจากบราซิล สหรัฐอเมริกา และอื่นๆ ต้องไม่มีสารตกค้างเลย (zero tolerance) โดยหลักการออกประกาศเน้นความปลอดภัยของผู้บริโภค รวมถึงความเท่าเทียมของผลิตภัณฑ์อาหารภายในประเทศกับที่นำเข้า และภาคอุตสาหกรรมต้องดำเนินธุรกิจได้ จึงผ่อนผันให้วัตถุดิบมีสารตกค้างมากกว่า 0 ได้ประมาณถึง 1 มิ.ย. 2564 ซึ่งในส่วนนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับไปดำเนินการ
“ขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ เร่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ส่งการกำหนดค่าสารตกค้างในวัตถุดิบที่นำเข้าเป็นไปตาม พ.ร.บ. อาหาร ของกระทรวงสาธารณสุข” น.ส.มนัญญา กล่าว