Yum! Brands เผชิญอุปสรรคชั่วคราวจากผลกระทบความขัดแย้งในตะวันออกกลางแต่แนวโน้มระยะยาวยังคงสดใส
Yum! Brands Inc. (NYSE: YUM) เจ้าของแฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง KFC, Taco Bell และ Pizza Hut กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในปี 2024 โดยเฉพาะผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายในตลาดหลักบางแห่ง เช่น ตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยยอดขายสาขาเดิมในตลาดเหล่านี้ลดลงถึง 15%-45% ตลอดทั้งปี และมีผลอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา
“เดวิด กิบบ์ส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Yum! Brands กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อยอดขายของ KFC โดยยอดขายจากร้านสาขาเดิมทั่วโลกลดลง 4% ในไตรมาสที่ 3 และ 3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี อย่างไรก็ตาม ในตลาดอื่น ๆ KFC ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปิดร้านใหม่กว่า 685 แห่งในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งจากแฟรนไชส์ซีทั่วโลก
ภาพรวมการเติบโตชะลอตัว
ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรวมของ Yum! Brands เพิ่มขึ้นเพียง 1% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายการเติบโตระยะยาวที่ 7% โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจของผู้บริโภค และผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ การปิดร้านบางแห่งที่ได้รับผลกระทบยังทำให้การเติบโตของจำนวนสาขาใหม่ลดลง ซึ่งอาจทำให้บริษัทไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ 5% ได้ในปีนี้
Taco Bell เป็นความหวังสำคัญ
แม้ KFC จะประสบปัญหา แต่ Taco Bell กลับทำผลงานได้ดี โดยยอดขายร้านสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 4% ในไตรมาสที่ 3 และ 3% ในช่วง 9 เดือนแรก นอกจากนี้ กำไรจากการดำเนินงานของ Taco Bell ยังเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดสหรัฐฯ
แนวโน้มในอนาคตยังคงเป็นบวก
แม้ปีนี้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ Yum! Brands ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในปี 2025 บริษัทจะกลับมาเติบโตได้ตามเป้าหมายเดิม โดยคาดว่า EPS (กำไรต่อหุ้น) จะเพิ่มขึ้น 10%-12% ประกอบกับเงินปันผลอีกประมาณ 2% ซึ่งทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนรวมประมาณ 12%-14% ต่อปี
ปัจจุบัน หุ้น Yum! ซื้อขายที่ระดับ P/E ประมาณ 25 เท่า ซึ่งแม้จะดูสูง แต่เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีความแข็งแกร่ง และความสามารถในการทำกำไร นักลงทุนยังคงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ด้วยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการเติบโตของแบรนด์หลักอย่าง Taco Bell และ KFC ในตลาดอื่น ๆ จึงยังคงเป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
KFC ในไทยเผชิญความท้าทายแต่ยังเติบโต
ในปี 2024 KFC ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง โดยเฉพาะจากปัจจัยภายใน เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ในช่วงกลางปี 2024 พบว่ากำลังซื้อเริ่มอ่อนตัวลงจากภาระค่าใช้จ่าย เช่น การเปิดเทอมของผู้ปกครอง ส่งผลให้ยอดขายบางช่วงชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสินค้า .
อย่างไรก็ตาม KFC ยังคงขยายตัวโดยเน้นการปรับกลยุทธ์ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในทุกกลุ่มให้มากขึ้น เช่น การเปิดสาขาในเมืองรอง การลงทุนในร้านดิจิทัล และการใช้โปรโมชั่นที่หลากหลายเพื่อตอบสนองกำลังซื้อที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่และการเพิ่มประสิทธิภาพในร้าน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในช่วงที่กำลังซื้อลดลง
https://seekingalpha.com/article/4741007-yum-brands-facing-temporary-headwinds?
https://positioningmag.com/1476479