

หลายทศวรรษที่ผ่านมา การเจรจาการค้าแบบ “พหุภาคี” ภายใต้ “องค์การการค้าโลก” หรือ WTO ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก การเจรจาเรื่องต่างๆ ไม่คืบหน้า เพราะมากคนก็มากความ
ประเทศต่างๆ จึงหันหน้าเจรจา “ความตกลงการค้าเสรี” หรือ FTA กันมากขึ้น เพราะเจรจากันง่าย และจบง่ายกว่า
ประเทศไทยก็เช่นกัน จนปัจจุบัน ไทยมี FTA แล้ว รวม 15 ฉบับ 19 ประเทศ ทั้งอาเซียน (9ประเทศ) จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง ชิลี เปรู และล่าสุดศรีลังกา
และยังมีอีกหลายประเทศ ที่อยู่ระหว่างเจรจา เช่น แคนาดา ภูฏาน ตุรกี ปากีสถาน สหภาพยุโรป ฯลฯ
เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน ลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกด้านการค้า การลงทุน ที่ถือเป็นการ “สร้างแต้มต่อ” เหนือคู่แข่งให้กับผู้ประกอบการไทย
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ เพิ่งประกาศข่าวดี!! การเจรจา FTA ไทย-EFTA สามารถปิดการเจรจาได้แล้วตามเป้าหมาย หลังเจรจากันมา 2 ปี
FTA ฉบับนี้ จะมีที่มาที่ไปอย่างไร และมีผลดี-เสียต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยอย่างไร รวมถึงผู้ได้รับผลกระทบต้อปรับตัวอย่างไร เชิญติดตามได้ที่นี่
เล่าความก่อนเป็น FTA ไทย-EFTA
ข้อมูลของ “กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ” กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า EFTA เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายจะทำ FTA ด้วย
เพื่อขยายโอกาสทางการค้า ทั้งสินค้าและบริการของไทย และการลงทุนกับสมาชิก EFTA และลดความไม่แน่นอน จากการที่สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ อาจตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ที่ให้กับสินค้าไทย ที่ปัจจุบัน ไทยยังได้รับสิทธิอยู่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนา และยกระดับมาตรฐานทางเศรษฐกิจของไทย
แม้ EFTA เป็นกลุ่มประเทศเล็กๆ มีประชากรรวมกันไม่ถึง 15 ล้านคน แต่มีกำลังซื้อสูงมาก มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม อีกทั้งมีภาคบริการเป็นส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจ เช่น การเงิน ธนาคาร ประกันภัย โทรคมนาคม
ที่สำคัญยังเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้ากับสหภาพยุโรป ((EU)อย่างใกล้ชิด และมี FTA กับประเทศต่างๆ เกือบ 30 ประเทศ
ไทย และ EFTA จึงได้เริ่มต้นเจรจา FTA ตั้งแต่ปี 47 และเจรจากันแล้ว 2 รอบ แต่ต้องหยุดเจรจา เพราะการปฏิวัติในไทย เมื่อไทยมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย EFTA ได้ขอรื้อฟื้นการเจรจามาโดยตลอด จนมาปี 62 EFTA ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ที่จะฟื้นเจรจาอีกครั้ง
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จึงได้หารือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมอบหมายให้ “สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา” ศึกษาผลดี ผลเสีย พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา อุปสรรค และเตรียมความพร้อม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกร ผู้ประกอบการของไทย
หลังจากนั้น กระทรวงพาณิชย์ จึงเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรื้อฟื้นการเจรจาอีกครั้ง และวันที่ 20 มิ.ย.67 “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและรมวพาณิชย์ (ขณะนั้น)
ได้ประกาศเปิดการเจรจา ร่วมกับรมต.การค้าของ EFTA ทั้ง 4 ประเทศ ณ เมืองบอร์การ์เนส สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ โดยตั้งเป้าหมายจะเจรจาให้สำเร็จภายในปี 67
ปิดดีลสำเร็จตามเป้าหมาย 2 ปี
หลังจากนั้น การเจรจาได้ดำเนินเรื่อยมา และในที่สุด วันที่ 29 พ.ย.67 เลขาธิการ EFTA ได้ประกาศความสำเร็จของการเจรจาผ่านโซเชียลมีเดีย
“FTA EFTA-ไทย สรุปผลเจรจาได้แล้ว หลังจากหัวหน้าคณะเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายได้ประชุมร่วมกันผ่านทางออนไลน์ เพื่อสรุปผลการเจรจารอบสุดท้าย และสามารถสรุปได้ในที่สุด”
หลังจากนั้น “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ ได้ประกาศข่าวดีเช่นกัน และถือเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับประเทศยุโรป และเป็นฉบับที่ 16 ของไทย
และเป็น New Generation FTA ของไทย เพราะมีความทันสมัย มีมาตรฐานสูงที่สุดเท่าที่ไทยเคยทำ FTA มา เนื่องจากมีประเด็นใหม่ๆ เข้าไปด้วย เช่น สิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาที่ยั่งยืน ฯลฯ
จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะยกระดับมาตรฐาน และกฎระเบียบต่างๆด้านการค้าให้เป็นสากลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยปูทางให้การเจรจา FTA กับ EU ที่เจรจากันแล้ว 4 รอบ และสรุปผลแล้ว 2 ประเด็น สำเร็จตามเป้าหมาย
จากนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะเสนอผลการเจรจาให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบ ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะลงนามความตกลงในช่วงการประชุม World Economic Forum ที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เดือนม.ค.68 ซึ่ง “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ “นายพิชัย” จะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมด้วย
และหลังจากนั้น จะเสนอความตกลงต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ไทยจะให้สัตยาบันเพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยโดยเร็ว
เปิดผลดี–เสีย ข้อเสนอแนวทางปรับตัว
สำหรับ FTA ฉบับนี้ ประกอบด้วย 15 ประเด็น เช่น การค้าสินค้า กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรการเยียวยาทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน ครอบคลุมสิ่งแวดล้อมและแรงงาน ฯลฯ
FTA ฉบับนี้ จะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนผ่านการลด/ยกเลิกอุปสรรคทางการค้า ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและผู้นำเข้าในการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้า
กลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว ข้าวโพดหวาน เนื้อสุกรและเครื่องใน อาหารทะเลแปรรูป เครื่องแต่งกายยานยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ปรุงรส
ส่วนกลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะนำเข้าจาก EFTA มากขึ้น เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องส าอาง ปุ๋ยเคมี นาฬิกาและส่วนประกอบ
ขณะที่ด้านการลงทุน EFTA สามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทยจะดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ EFTA มีศักยภาพ โดยเฉพาะบริการการเงิน โทรคมนาคม บริการด้านสุขภาพ พลังงานสะอาด บริการด้านวิชาชีพ
พร้อมกันนั้น ไทยก็อาจขยายการลงทุนเข้าไปใน EFTA มากขึ้น เช่นธุรกิจค้าปลีก อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป พลังงาน
แต่ความท้าทายจากการเป็น FTA ที่มีมาตรฐานและกฎระเบียบด้านการค้าที่สูงมาก อาจเป็นอุปสรรคต่อการค้า อีกทั้งความมีศักยภาพสูงของ EFTA ในสาขาบริการ และการลงทุน ที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้ผู้ประกอบกรไทยในสาขาที่ EFTA มีศักยภาพ ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันไม่ได้
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าให้เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล และต้องมีระยะเวลาปรับตัวให้พร้อมกับแข่งขันด้วย
หอการค้าไทยหนุนเจรจา EU ต่อ
ขณะเดียวกัน หอการค้าไทย-สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้ด้วย โดยระบุว่า ในยุคที่มีความยัดแข้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงมากขึ้นอย่างในปัจจุบัน
ความตกลงนี้จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้า เพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าหลัก เช่น อัญมณี อาหารทะเล เครื่องจักร ฯลฯ ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนอย่างยั่งยืน และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทยในอนาคต อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญนำไปสู่ความร่วมมือกับกลุ่มประเทศยุโรปในการพัฒนาผู้ประกอบการไทย
และมั่นใจว่า จะมีส่วนช่วยผลักดันให้การเจรจา FTA ไทย-EU สำเร็จภายในปี 68-69
ภายหลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายลงนามความตกลงร่วมกัน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงดือนม.ค.68 แล้วนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายจะดำเนินการตามกระบวนการในประเทศ โดยไทย จะขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ก่อนที่จะให้สัตยาบัน เพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับ ฝ่าย EFTA ก็เช่นกัน
แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ภาครัฐต้องหาแนวทาง ส่งเสริมขีดความสามารถด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี รวมถึงภาคเกษตรกร ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี ให้มีความเข้มแข็ง และพร้อมรับการแข่งขันได้
เพื่อให้ FTA ฉบับนี้ เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนไทย เศรษฐกิจไทย และประเทศไทย!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ส.อ.ท. หนุนกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า FTA – EFTA หลังบรรลุการเจรจาสำเร็จ