ททท. ปั๊มทัวร์ไทยยุคกระเป๋าแฟบ ลุยพลิกตลาดใหม่ ปี’67-68

ททท.
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ตั้งเป้าปี 2567ทำรายได้คนไทยเที่ยวในประเทศ 1.08-1.2 ล้านล้านบาท


ททท. เร่งเพิ่มรายได้เที่ยวไทยครึ่งปีหลัง’67 ลุยยกเครื่องแผนตลาดปี’68 รับสัญญาณ “คนไทยกระเป๋าแฟบลง” พุ่งเป้าใช้แรงกระตุ้นคนใช้เงินเที่ยว 4 ช่องทาง “แอร์ไลน์-รถเช่า-บัตรเครดิต-โร้ดโชว์” เดินหน้าปลดล็อกกำลังซื้อซึม

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศททท.

นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ททท.วางกลยุทธ์กระตุ้นคนไทยออกเที่ยวในประเทศด้วย 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.ราคาไม่แพงจนเกินไป 2.โลจิสติกส์ เดินทางได้สะดวกสบาย โดยเฉพาะหน้าฝนต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ

3.โรงแรมที่พักคุณภาพของอุปกรณ์บริการภายในห้องต้องหนุนส่งให้ทุกการพักผ่อนอย่างมีความสะดวก ห้องสะอาด หมอนเตียงนอนนุ่มหลับสบาย แอร์เย็น ก็จะช่วยเสริมได้มากเพราะทุกวันนี้คนมักจะหลีกหนีความวุ่นวายไปเที่ยวในสถานที่สงบ 4.ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพที่ดี

พร้อมทั้งจะนำไปประยุกต์วางแผนตลาดซึ่งกำลังอยู่ในช่วงจัดการประชุมเชิงบูรณาการแผนปฏิบัติการ ททท. ปี 2568 -Tourism Authority of Thailand Action Plan 2025 : TATAP 2025 ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

สถิตินักท่องเที่ยวใช้เงิน
สถิติและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวคนไทยใช้เงินเที่ยวเมืองไทยปี 2567

ตอนนี้การกระตุ้นตลาดในประเทศอยู่ระหว่างปีงบประมาณ 2567 ต้องทำรายได้ 1.08-1.2 ล้านล้าน จำนวน 200-210 ล้านคน-ครั้ง ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงสุดจะอยู่ไตรมาสสุดท้าย ตุลาคม-ธันวาคม ของทุกปี ขณะนี้สัญญาณด้าน“จำนวนนักท่องเที่ยว” สามารถทำได้ตามเป้า แต่กำลังเป็นห่วงเรื่อง “เป้าหมายรายได้” เพราะทำค่อนข้างยากมาก เพราะมี 2 ตัวแปรหลัก ได้แก่

ตัวแปรที่ 1 ต้องดูเงินในกระเป๋าคนไทยกับสภาพเศรษฐกิจอาจส่งผลทำให้การเดินทางชะลอตัวลงได้ ตัวแปรที่ 2 การจัดเก็บตัวเลขท่องเที่ยวค่อนข้างยากมากขึ้นเพราะกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดเก็บจากใช้เงินในพื้นที่ แต่การเดินทางในประเทศจะไม่ได้รวมค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน กับการใช้เงินช้อปปิ้ง ซึ่งคนส่วนใหญ่หันมาซื้อทางออนไลน์มากขึ้น หรือมักจะกลับมาสั่งซื้อช่องทางอื่น ๆ แทน

ดังนั้นการกระตุ้นรายได้ท่องเที่ยวในประเทศช่วงครึ่งปีหลังระหว่างกรกฎาคม-กันยายน 2567 ททท.จึงต้องเร่งทำการตลาดเชิงรุกด้วยวิธีขยายความร่วมมือกับพันธมิตร 4 กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วย

  • กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 หมวดหลัก ได้แก่ หมวดที่ 1 สายการบิน นำร่องทำกับ “บางกอกแอร์เวย์ส” วันธรรมดาน่าเที่ยว “แอร์เอเชีย” ทำแคมเปญ เที่ยวเมืองรองให้ฉ่ำ และ “ไลออนแอร์” พาล่องใต้ไปเที่ยวทะเล หมวดที่ 2 รถเช่าท่องเที่ยว มีทั้ง AVIS , CVENT A CAR และค่ายรถอื่น ๆ ทยอยเข้ามาร่วมกับ ททท.ในหลากหลายรูปแบบหมวดที่ 3 ผู้ประกอบการรถบัส ให้บริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องได้รับเงินสนับสนุนครั้งละ 10,000 บาท นำกลุ่มประชุม สัมมนา และได้รางวัลการเดินทาง (incentive) เคลื่อนย้ายไปจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่าง ๆ ขนาดกลุ่มละ 30 คน/คัน
  • กลุ่มที่ 2 พันธมิตรท่องเที่ยวออนไลน์ OTA : Online Travel Agent ที่มีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้ง GRAB, Agoda, Traveloka ,KLOOK , True และ Freedom World น้องใหม่ที่หันมาทำตลาดเที่ยวไทย รวมถึงห้างสรรพสินค้า โลตัส 7-11 แล้วยังเตรียมร่วมกับพันธมิตรสนับสนุนงานขาย International Health Care Asia 2024 รุกเจาะตลาดกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เฮลท์ เวลเนส ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสนใจเฉพาะมากขึ้น (Niche market)
  • กลุ่มที่ 3 ทำเทรดโชว์ โร้ดโชว์ การขายท่องเที่ยวข้ามภาค โดยคัดสรรสินค้าตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนประเทศศูนย์กลางการท่องเที่ยว
  • กลุ่มที่ 4 จับมือกับสถาบันการเงินและบัตรเครดิต ขณะนี้ททท.จับมือกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ใช้ Car for Cash ผลิตคู่มือการท่องเที่ยวเมืองไทยแบบอี-บุ๊ค 72 เส้นทาง จากนั้นจะทำเป็นเล่มพกพาได้ นำเสนอ เที่ยวหน้าฝน 72 เส้นทาง และเที่ยวไทย 3 วัน 2 คืน เพื่อเชิญชวนคนปักหมุดตามแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร และคาเฟ่เก๋ ๆ
ททท.วางแผนกระตุ้นการท่องเที่ยว
ททท.ยึดแผนยุทธศาสตร์ชาติ พลิกโฉมประเทศไทย สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ยังมีเส้นทางพร้อมขายของเครือข่าย หอการค้าไทยมีโครงการ “แฮปปี้ โมเดล” กับขององค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) มีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนพรีเมี่ยมกระจายอยู่ทั่วประเทศ สามารถขายหน้าฝนนำมาออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้มากมาย

นางสาวสมฤดีกล่าวว่าททท.ในประเทศต้องขับเคลื่อนตลาดและรายได้ 55 เมืองน่าเที่ยว/เมืองรอง ควบคู่กันไปด้วยโดยยึดแผนยุทธศาสตร์ของสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือ “สภาพัฒน์” กำหนดไว้ในแผนถึงการยกระดับเมืองรองสู่เมืองหลักได้ทั้งหมดภายในปี 2580ททท.และทุกภาคส่วนจะต้องช่วง 13 ปีนี้ นำเครื่องมือต่าง ๆ เข้าไปช่วยผลักดันโดยเฉพาะยุคนี้ “คนนิยมขับรถท่องเที่ยว” ด้วยรถระบบไฟฟ้า (EV) แสวงหาแหล่งท่องเที่ยว แต่กระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาช่วยปลดล็อกปัญหาที่จะต้องแก้ไขการขับรถอีวีท่องเที่ยว จะต้องเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นคือ 1.โรงแรมตามเมืองน่าเที่ยวจะต้องเร่งเพิ่มจุดชาร์จไฟฟ้าอีวี บริการซ่อมรถ ทางกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ควรจะหารือกับสถาบันการศึกษาผลิตช่างไว้บริการ 2.การรณรงค์ให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืนเติบโตตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้

เรื่องโดย #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ก.ท่องเที่ยวลุ้นเดือน 7 MV ลิซ่า ดันจีนเที่ยวไทยโต 2 หลัก