ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างมากในวันพุธที่ 6 พ.ย. หลังจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะอย่างชัดเจนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันอังคาร
โดยการซื้อขายก่อนเปิดตลาดแสดงสัญญาณเชิงบวกและส่งผลให้ดัชนีหลักพุ่งสูงขึ้นในช่วงการซื้อขายทั้งเช้าและบ่าย ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นถึง 1,507 จุด หรือ 3.57% ปิดที่ระดับสูงสุดใหม่ ทำสถิติเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 จุดภายในวันเดียวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2022
ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ก็สร้างสถิติใหม่เช่นกัน โดย S&P ปรับเพิ่มขึ้น 2.5% และ Nasdaq ซึ่งเน้นหุ้นเทคโนโลยี ปิดบวก 2.95% ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐOแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็เพิ่มสูงขึ้น
การฟื้นตัวครั้งนี้ของ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากการที่ผลการเลือกตั้งชัดเจนเร็วกว่าคาด ตลาดต้องการความชัดเจนเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถวางแผนการดำเนินธุรกิจและการจ้างงานได้ แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความเสี่ยงที่ทรัมป์และทีมงานจะดำเนินการโต้แย้งผลการเลือกตั้งในศาล แต่ชัยชนะชัดเจนครั้งนี้ได้บรรเทาความไม่แน่นอนในตลาดที่กดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาเป็นเวลาหลายเดือน
นโยบายบริหารเศรษฐกิจของ ทรัมป์
“ทรัมป์” สนับสนุนการลดภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ นโยบายนี้ส่งผลให้มูลค่าพันธบัตรกระทรวงการคลังลดลง ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากการซื้อขายพันธบัตรเคลื่อนไหวตรงกันข้ามกับราคา
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีขยับแตะ 4.4% ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และคาดว่าจะปรับลดอีกครั้งหลังการประชุมนโยบายในวันพฤหัสบดี
Andrzej Skiba หัวหน้า BlueBay US Fixed Income ของ RBC Global Asset Management กล่าวว่า “ด้วยภาษีที่สูงขึ้น เฟดอาจไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นข่าวไม่ดีต่อตลาดตราสารหนี้” อีกทั้งพันธบัตรอาจเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องในอนาคต อัตราดอกเบี้ยเฟดแม้จะมีผลต่อผลตอบแทนของกระทรวงการคลัง แต่การกู้ยืมของผู้บริโภค เช่น อัตราดอกเบี้ยจำนอง สินเชื่อรถยนต์ และบัตรเครดิตยังคงเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับผลตอบแทนกระทรวงการคลัง ซึ่งชัยชนะของทรัมป์ในขณะนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยผู้บริโภคเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย
หุ้นอื่นๆ ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากทรัมป์ เช่น Trump Media & Technology Group (TMTG) ก็พุ่งสูงขึ้น หุ้น TMTG ซึ่งซื้อขายภายใต้สัญลักษณ์ “DJT” เพิ่มขึ้นเกือบ 24% ก่อนปิดตลาดสูงขึ้นราว 6%
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 1.7% เทียบกับยูโรและปอนด์อังกฤษ สู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ดอลลาร์ได้รับอานิสงส์จากแผนการเพิ่มภาษีนำเข้าของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้มีความต้องการสินค้าภายในประเทศเพิ่มขึ้น แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่แสดงความกังวลว่าแผนนี้อาจไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างที่ทรัมป์คาดหวัง
https://edition.cnn.com/2024/11/06/investing/dow-stock-market-trump/index.html
https://thejournalistclub.com/trump-scb-interest-bath-vote/