

“เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง” เผยแผนธุรกิจปี 68 เล็งสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้าโต 5-7% ปรับกลุ่มสินค้าและบริการ (Product Portfolio) รุกตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตได้ พร้อมเดินหน้าสินค้ากรีนรับเทรนด์สังคมคาร์บอนต่ำ
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง เผยเล็งสัญญาณบวกที่มีผลต่อภาพรวมธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่องตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภค ออกสินค้าสำหรับ Affordable Segment หรือกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อจำกัด เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่มีกำลังซื้อลดลง ผลักดันสินค้ากรีนและโซลูชันที่ตอบเทรนด์รักษ์โลกและประหยัดพลังงาน อย่าง Solar Roof และวัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ พร้อมปรับภาคการผลิตใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดมากขึ้น รวมถึงพัฒนาสูตรการผลิตสินค้าเพิ่มความหลากหลายของการใช้วัตถุดิบ เพื่อบริหารจัดต้นทุนให้ดีที่สุด ตั้งเป้าโต 5-7% ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดที่เติบโตต่ำ
ภาพรวมธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 3%
มีการคาดการณ์ว่าภาพรวมธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 3% ในส่วนของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐ จากแผนเตรียมเสนอเปิดประมูลโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านคมนาคมหลายโครงการ ในขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชน มีแนวโน้มขยายตัวเพียง 1% จากการฟื้นตัวค่อนข้างช้าของตลาดที่อยู่อาศัย ถือเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างน้อยหากเทียบกับ 2-3 ปีก่อน ด้วยเหตุผลของ Oversupply ในขณะที่ตลาดพื้นที่ค้าปลีกและพื้นที่สำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยที่ 0-2% และ 2-4% ต่อปี ตามโครงการที่ทยอยก่อสร้างเสร็จ

ทิศทางการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ส่งผลต่อธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ภายใต้ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด โดยคุณวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า แผนระยะสั้นจะยังคงเน้นเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดและการแข่งขัน โดยออกสินค้ากลุ่ม Affordable Product เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด ครบทั้งกลุ่มหลังคา บอร์ด ไม้สังเคราะห์ และผนังพื้นตกแต่งภายนอกบ้าน, ทำโครงการลดต้นทุนต่อเนื่อง โดยยังคงประสิทธิภาพและคุณภาพของสินค้าและบริการ และเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจใหม่ รวมทั้งนำ AI เข้ามาช่วยพนักงานและคู่ค้าในการเข้าถึงข้อมูลสินค้า วิธีการติดตั้ง ออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที
ในขณะเดียวกัน ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมมีผลกับธุรกิจวัสดุก่อสร้างและการก่อสร้างในปัจจุบันมากขึ้นกว่าในอดีต หากไม่มีการปรับตัวก็จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างเลี่ยงไม่ได้
สินค้าเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ได้การรับรองค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากTGOกว่า 50% ของสินค้าทั้งหมด
ปัจจุบันสินค้าในธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ได้การรับรองค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย (TGO) เป็นจำนวนกว่า 50% ของสินค้าทั้งหมด และได้รับการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อม Environmental Product Declaration (EPD) สำหรับกลุ่มสินค้าไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดและวัสดุตกแต่งทั้งหมด การันตีคุณสมบัติสินค้าคาร์บอนต่ำเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานระดับสากล ตั้งเป้า 80% ของสินค้าวัสดุก่อสร้างในธุรกิจสมาร์ทลีฟวิงต้องมีค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ภายในปี 2568 พร้อมรับนโยบายจากพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในปี 2568
นอกจากนี้เอสซีจีมีแผนร่วมกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายบริษัทในการนำเศษวัสดุเหลือทิ้งจากงานก่อสร้างมาเป็นวัสดุรีไซเคิลผสมในการผลิตสินค้าและนำสินค้าที่ผลิตได้กลับไปใช้งานที่โครงการนั้นๆ อีกครั้ง แม้จะยังไม่ได้มีปริมาณมาก และต้องใช้ความพยายามให้ปรับกระบวนการทำงานของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยกันลดเศษวัสดุจากการก่อสร้างนำมาใช้ประโยชน์ และลดการปล่อยคาร์บอนร่วมกัน
ด้านการวางแผนระยะยาวยังคงมุ่งศึกษาและพัฒนาวัสดุก่อสร้างที่ผลิตมาจากวัสดุที่ยั่งยืน ลดการปล่อย Greenhouse Gas (GHGs) ตอบโจทย์ Industry Trend ผลักดัน Building Code ให้เป็น Net Zero Building ที่ใช้สินค้าคาร์บอนต่ำมากขึ้น รวมทั้งเร่งพัฒนาระบบการติดตั้งที่ง่ายและรวดเร็ว เพื่อช่วยลดต้นทุนและค่าแรงงานที่จะแพงและหายากมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เอสซีจี จับมือ ธอส. ปล่อยโปรโมชันบ้านรักษ์โลก “SCG Green Sale”