

นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในรายงาน Economics and Portfolio Strategy (EPS) ประจำเดือนกันยายน 2564 SCB Chief Investment Office (CIO) วิเคราะห์ 3 ประเด็นหลักที่มีผลต่อแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก (Global Asset Allocation) ประกอบด้วย 1.ผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เริ่มแตกต่างตามความรวดเร็วในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว (DMs) และกำลังพัฒนา (EMs) โดยเฉพาะการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่จะเริ่มลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE tapering) ภายในปี 2564 นี้ 2.ภูมิคุ้มกันของ EMs ประเทศ ต่อความผันผวนของตลาดการเงินโลก และ 3.บทเรียนต่อตลาดการเงินโลกจากการทำ QE taper ของ Fed ในปี 2556 และความแตกต่างของการทำ QE taper ในรอบนี้
SCB CIO วิเคราะห์ธนาคารกลางหลักเริ่มส่งสัญญาณ QE taper โดยสัญญาณจาก Fed จะชัดเจนขึ้นจากการประชุมเดือน ก.ย. และน่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในการประชุมเดือน พ.ย. คาดความผันผวนในตลาดการเงินโลกสูงขึ้นแต่ไม่รุนแรงเท่ากับในปี 2556 โดยในรายละเอียด SCB CIO คาดว่า Fed จะส่งสัญญาณ QE taper ที่ต่อเนื่องและชัดเจนขึ้นในการประชุม 21-22 กันยายนนี้ ซึ่งต่างจาก 2556 QE taper ที่เป็นการประกาศที่สร้างความตกใจให้ตลาด โดยในรอบนี้ทั้งผู้ร่วมตลาดและ Fed ล้วนมีบทเรียนจากปี 2556 นอกจากนั้น Fed เองได้ทำการส่งสัญญาณหรือนวดตลาดล่วงหน้าทำให้ตลาดเริ่มมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งสัญญาณชัดเจนในการแยกการตัดสินใจประเด็น QE taper (คาดว่าจะประกาศรายละเอียดและเริ่มทำในช่วงการประชุมของ Fed 2-3 พ.ย.) และการขึ้นดอกเบี้ย (ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งแรกปี 2566) ออกจากกัน ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ซึ่งน่าจะทำให้ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกไม่รุนแรงเท่ากับการทำ QE taper ในปี 2556
ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีการส่งสัญญาณลดการเข้าเข้าสินทรัพย์อย่างช้าๆ ภายใต้โครงการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 4 ปีนี้ แต่จะยังคงการทำ QE ภายใต้โครงการ Asset Purchase Program (APP) ไว้ต่อ การเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 กันยายนไม่น่าจะทำให้ภาพรวมนโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่การเลือกตั้งสภาล่างและนายกคนใหม่ของญี่ปุ่นน่าจะตามมาด้วยนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นไล่ตามประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ให้ทัน
สำหรับแนวโน้มตลาดการเงินโลก SCB CIO ประเมินการเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ของ US treasury yieldsจะทำให้หุ้นกลุ่ม quality growth ในสหรัฐฯและยุโรปยังน่าสนใจ; สำหรับประเทศในกลุ่ม EMs ที่ฟื้นช้าต้องระวังความผันผวนในตลาดหุ้นและค่าเงิน บทเรียนจากปี 2556 บ่งชี้ว่าในตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดอื่นทั้งในแง่การปรับตัวลดลงและระยะเวลาฟื้นตัว ตามมาด้วยตลาดหุ้นยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับผลกระทบค่อนข้างมากเนื่องจากปรับขึ้นไปอย่างมีนัยในช่วงก่อนหน้า แต่ก็สามารถทยอยฟื้นตัวกลับมาได้
ขณะที่กลุ่มประเทศ EM เช่น จีน ไทย อินโดนีเซีย บราซิล ตุรกี และแอฟริกาใต้ ได้รับผลกระทบหนักต่อทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และค่าเงิน โดยในช่วงปลายปี 2564 คาดว่าอัตราผลตอบแทน US treasury จะอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งเป็นการขยับขึ้นแบบช้าๆ ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบจำกัดต่อหุ้นกลุ่ม quality growth ที่ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ยังคงกังวลต่อค่าเงินและตลาดหุ้นกลุ่มประเทศ EMs ซึ่งแม้เสถียรภาพด้านต่างประเทศจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2556 แต่ปัญหาด้านภูมิคุ้มกันของ EMs ส่วนใหญ่อยู่ที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำและฟื้นช้าโดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจถูกกระทบต่อเนื่องจากสงครามการค้าและ COVID-19
สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก (Asset Allocation Portfolio Strategy) SCB CIO ยังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป; ปรับมุมมองตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็น slightly positive; ปรับมุมมองหุ้นจีน H-share และไทยลงเป็น slightly negative เราเชื่อในภาวะตลาดผันผวนจะมีโอกาสดีในการเข้ามาสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
เราเชื่อในภาวะตลาดผันผวนจะมีโอกาสดีในการเข้ามาสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง