

คำพูดที่ว่า “ไทยเป็นครัวของโลก” เพราะผลิตอาหารและส่งออกไปเลี้ยงชาวโลกนั้น น่าจะทำให้มองเห็นถึงศักยภาพ หรือความเก่งของไทยในการผลิต และส่งออกอาหาร ที่หาคู่แข่งมาสู้ได้ยาก
แต่ในความเป็นจริง ความสามารถของไทยในการผลิตอาหาร ที่เป็นพืชเกษตรต่างๆ เรียกได้ว่า “ด้อย” กว่าคู่แข่งอื่นๆ มาก เพราะได้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ต้นทุนผลิตสูง ราคาขายแพง และแข่งขันยาก
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ “ข้าว” ครั้งหนึ่งไทยเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวปริมาณมากที่สุดในโลก แต่มาวันนี้ แทบจะแข่งขันกับอินเดีย เวียดนาม จีน คู่แข่งสำคัญไม่ได้เลย เพราะราคาแพงกว่าใคร
ที่สำคัญ ปัจจุบัน ชาวนาไทยกำลังนิยมปลูกข้าวพื้นนุ่มจากเวียดนามมากขึ้น และอนาคต ก็น่าจะมีพันธุ์ข้าวจากจีนด้วย ทำให้พันธุ์ข้าวพื้นเมืองของไทย “เสี่ยงสูญพันธุ์”
ในขณะที่รัฐบาล ทำได้แค่แจกเงินให้ชาวนา เพื่อรักษาฐานเสียง ไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบอย่างจริงจัง เรามาฟังทัศนะของ “สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย” เกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของข้าวไทย ที่จะ “หลับแล้วกลับมาได้” หรือ “หลับแล้วไม่มีวันกลับ”
อุตสาหกรรมข้าวไทยอันตราย

สำหรับอนาคตของข้าวไทยนั้น “ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์” นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ชี้ให้เห็นว่า อยู่ในภาวะอันตราย และข้าวพื้นเมืองหลายสายพันธุ์อาจหายไป เช่น ข้าวหอมปทุมธานี, ข้าวกข 79 ที่ปัจจุบัน ผลผลิตลดลงมาก
เนื่องจากชาวนาไทยปลูกข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามมากขึ้น อย่าง “ข้าวหอมพวง” หรือที่รู้จักว่าเป็น ”ข้าวหอมมะลิเวียดนาม” ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ เพราะตรงกับความต้องการของตลาดโลก ที่ชอบข้าวนุ่ม ให้ผลผลิตต่อไรสูง ระยะเวลาปลูกสั้น ทนทานต่อโรค และศัตรูพืช
โดยข้าวหอมพวง เวียดนาม ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมากถึง 1,200-1,500 กิโลกรัม (กก.) ใช้เวลาปลูกสั้น 90-100 วันเก็บเกี่ยวได้ ปลูกได้ทั้งปีละ 3-4 ครั้ง ชาวนาขายได้ทั้งปี มีเงินใช้ทั้งปี ส่วนข้าวหอมปทุมธานี ให้ผลผลิตต่อไร่ 800-900 กก. ใช้เวลาปลูกนาน 4 เดือน อ่อนแอ ไม่ทนต่อศัตรูพืช
“ที่แย่ที่สุดคือ ตอนนี้ ข้าวที่คนไทยกิน หรือข้าวสารบรรจุถุงที่ขายในประเทศ ไม่ต่ำกว่า 80% เป็นข้าวหอมพวง ซึ่งผู้บริโภคไทยไม่รู้เลย”
และยังคาดการณ์อีกว่า ในระยะเวลาอันสั้น ชาวนาภาคอีสาน จะปลูกข้าวหอมมะลิลดลงด้วย เพราะปลูกข้าวขาวแทน เนื่องจากปลูกได้ปีละ 2 ครั้ง ขายได้ 2 ครั้ง ให้ผลผลิตต่อไรมากกว่าที่ 600-800 กก. แต่หอมมะลิ เพียง 350-400 กก. และปลูกได้ปีละครั้ง
“ในอนาคต ชาวนาจะปลูกข้าวทุกสายพันธุ์ที่เวียดนามมี และสายพันธุ์ของจีนมากขึ้น เพราะรัฐบาล 2 ประเทศมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมข้าว และพัฒนาพันธุ์ข้าวต่อเนื่อง
ส่งผลให้มีสายพันธุ์ดีๆ ที่หลากหลาย ราคาไม่แพง ตรงกับความต้องการของแต่ละตลาดที่ชอบข้าวต่างกัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองของไทยหายไปอย่างน่าเสียดาย”
จี้เร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวตอบโจทย์ลูกค้า
ร.ต.ท.เจริญ ยังบอกถึงแนวทางแก้ปัญหาว่า กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องเร่งพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของตลาดให้มากขึ้น และให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิตเพราะสาเหตุหนึ่งที่ราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่ง คือ ต้นทุนผลิตสูง
แม้กรมการข้าวระบุว่า ปัจจุบัน มีข้าว พันธุ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาและให้ชาวนาได้ทดลองปลูกแล้วจำนวนมาก แต่ก็ยังให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ชาวนาไม่นิยมปลูกอยู่ดี
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ต้องแก้ไขกฎหมายที่อนุญาตให้นำเข้าพันธุ์ข้าวจากต่างประเทศ มาศึกษา วิจัย และพัฒนาร่วมกับสายพันธุ์ข้าวของไทย และให้ชาวนาได้ทดลองปลูก เพราะกฎหมายนี้ใช้มานาน ล้าสมัย เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพันธุ์ข้าว และอุตสาหกรรมข้าวไทย
รวมถึงต้องพัฒนาแหล่งชลประทาน ให้มีน้ำเพียงพอ อย่าแจกแต่เงิน เพราะไม่มีประโยชน์ในการพัฒนาข้าวไทยเลย
“เวียดนาม พัฒนาข้าวพื้นนุ่มหลายพันธุ์ และขายดี เพราะราคาถูกกว่าข้าวไทย เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดข้าวของไทย ทำให้ข้าวไทยเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายประเทศ”
โดยคาดว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไทยจะกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 3 ของโลก โดยมีอินเดีย เป็นที่ 1 เวียดนาม ที่ 2 และหลังจากนั้นจีนก็จะแซงหน้า เพราะไทยไม่มีข้าวพันธุ์ใหม่ๆ ขายแต่ข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งก็มีแต่ตลาดเดิมๆ อย่างจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ยังขยายไปตลาดใหม่ๆ แทบไม่ได้
ปัจจุบัน ตลาดข้าวหอมในโลกมีมากถึง 5 ล้านตัน แต่ไทยขายข้าวหอมมะลิได้ปีละราวๆ 1 ล้านตัน ที่เหลือเป็นของเวียดนาม เช่น ข้าวพันธุ์ ST 25 ที่ชนะการประกวดข้าวที่ดีที่สุดในโลกปี 62 รวมถึงข้าวหอมจากจีนส่วนตลาดข้าวนึ่งของไทยก็หดตัว เพราะเสียตลาดให้ข้าวนึ่งจากอินเดีย
“ไทยจึงเหลือแต่ตลาดหอมมะลิ ที่ไม่มากนัก และข้าวขาวพื้นแข็ง ที่ยังพอขายได้ที่อิรัก อินโดนีเซีย บางประเทศในภูมิภาคแอฟริกาถ้าไม่เร่งพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของตลาด เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนผลิต แก้ปัญหาแหล่งน้ำให้เพียงพอ อนาคตข้าวไทยมืดมนแน่นอน”
ปี 67 ส่งออกเกิน 8 ล้านตันแต่ปี 68 ดิ่ง
ขณะที่สถานการณ์ด้านการส่งออก “นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์” นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์ว่า ปี 68 ไทยจะส่งออกข้าวได้ลดลง และต่ำกว่า 8.2 ล้านตัน ที่เป็นเป้าหมายของปี 67
โดยเห็นได้จากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ คาดการณ์ปี 68 ไทยจะส่งออกได้เพียง 7.5 ล้านตัน ลดลงจากปี 67 ที่คาดส่งออกได้ 8.5 ล้านตัน หรือเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย ที่คาดส่งออกได้ 18 ล้านตัน จากปี 67 ที่คาด 17 ล้านตัน และเวียดนาม อันดับ 3 ที่ 7.5 ล้านตัน จากปี 67 ที่คาด 8.3 ล้านตัน
ทั้งนี้เพราะคาดว่า ตั้งแต่ปลายปี 67 อินเดียจะกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง หลังจากห้ามส่งออกข้าวขาวมาตั้งแต่กลางปี 66 จนถึงปัจจุบัน แม้จะใช้วิธีเก็บค่าธรรมเนียมส่งออก เพื่อชะลอการส่งออก
อีกทั้งคาดว่า ผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ของอินเดีย ที่จะออกเร็วๆ นี้ มีเพิ่มขึ้น และมีสต๊อกข้าวในมากกว่า 50 ล้านตัน จึงต้องเร่งเทขายสต๊อก เพื่อไม่ให้สต๊อกข้าวที่มีมาก ฉุดราคาข้าวในประเทศลดลง
ขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ยังคาดว่า ปีหน้า หลายประเทศ จะนำเข้าข้าวลดลง เพราะผลผลิตในประเทศมีเพิ่มขึ้นหลังจากปี 67 ลดลงเพราะภัยแล้ง
โดยอินโดนีเซีย ผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของโลก จะนำเข้าเพียง 1.5 ล้านตัน จากปี 67 ที่ 3.5 ล้านตัน ส่วนอิรัก นำเข้า 1.9 ล้านตัน จากปี 67 ที่ 2.2 ล้านตัน, ซาอุดิอาระเบีย 1.7 ล้านตัน จากปี 67 ที่ 1.6 ล้านตัน, จีน 1.5 ล้านตัน จากปี 67 ที่ 1.7 ล้านตัน เป็นต้น ส่งผลให้ความต้องการซื้อในโลกลดลง
รวมถึงราคาข้าวไทยยังสูงกว่าคู่แข่ง ทำให้ไทยเสียตลาดข้าวสำคัญๆ ในหลายประเทศอินเดีย และเวียดนาม เช่น เสียตลาดข้าวนึ่งในภูมิภาคแอฟริกาให้อินเดีย เสียตลาดข้าวขาวในฟิลิปปินส์ให้เวียดนาม เป็นต้น
ยุทธศาสตร์ข้าว 5 ปีไม่สำเร็จตามเป้า
อย่างไรก็ตาม แม้ “ข้าว” เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และสร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่าแสนล้านบาท แต่รัฐบาลสมัยต่างๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบในระยะยาว
ไม่มีแม้กระทั่ง “ยุทธศาสตร์ข้าว” ที่จะเป็นตัวกำหนดแนวทางการพัฒนา และอนาคตของข้าวไทยเลย!!
ที่ผ่านมา รัฐบาลมีแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้านราคา ด้วยโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และโครงการประกันราคา รวมถึง “แจกเงิน” ให้ชาวนา ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนา
และโครงการต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแต่ใช้เงินมหาศาล เกิดการทุจริตไปทุกหย่อมหญ้า จนทำให้ประเทศเสียหายเหลือคณานับ
แต่ยังดีที่รัฐบาลที่แล้ว “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” นั่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้เริ่มจัดทำ “ยุทธศาสตร์ข้าวไทย” ระยะ 5 ปี (ปี 63-67) เป็นฉบับแรก เพื่อส่งเสริมและพัฒนาข้าวอย่างเป็นระบบ
ยุทธศาสตร์ ดังกล่าว ประกอบด้วย 1. ด้านการตลาดต่างประเทศ มุ่งตอบสนองต่อตลาดข้าวที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะข้าวพื้นนุ่ม
2.ด้านการตลาดภายในประเทศ สร้างสมดุลระหว่างความต้องการบริโภคและการผลิตในประเทศ
3.ด้านการผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว เพิ่มข้าวพันธุ์ใหม่ไม่น้อยกว่า 12 พันธุ์
4.ด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว มุ่งเน้นการวิจัยและการคิดค้นนวัตกรรมจากข้าว เพื่อสนองความต้องการของตลาด
ผลการดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ ถือว่า “สอบตก” เพราะไม่สามารถดำเนินการในด้านต่างๆ ได้เป็นผลสำเร็จ เช่น ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ก็ยังทำไม่ได้ตามเป้าหมาย หรือพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ ก็ยังเชื่องช้า เพิ่งพัฒนาได้เพียง 6 พันธุ์เท่านั้น
ที่สำคัญ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของยุทธศาสตร์นี้แล้ว และเมื่อจบปี ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ก็น่าจะจบตามไปด้วย และรัฐบาลใหม่ ก็ไม่น่าจะทำยุทธศาสตร์ใหม่ หรือนำแผนดำเนินการของยุทธศาสตร์เดิมมาปัดฝุ่นทำใหม่
ยิ่งทำให้เห็นภาพว่า ข้าวไทย จ่อปากเหว น่าจะกลับมายาก!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “ภูมิธรรม” ปลื้ม! โพสต์ ปิดตำนาน “จำนำข้าว” 10 ปี