“พระองค์ภา” เมื่อครั้งทรงศึกษา “นิติศาสตร์” ในรั้วเหลืองแดง

พระองค์ภา


JNC ขอนำบทความที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงประทานให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ “มหาวิทยาลัย” หนังสือพิมพ์ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะ ของนักศึกษาคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน เอกสิ่งพิมพ์และหนังสือพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 27 ปี ที่แล้ว ที่ “พระองค์ภา” ทรงเริ่มต้นศึกษาวิชากฎหมายในแดนโดม มานำเสนอ

พระองค์ทรงเป็นดวงใจของคนไทย ด้วยพระจริยาวัตรที่งดงาม และทรงตั้งใจศึกษาวิชากฎหมายอย่างจริงจัง สู่เส้นทาง “องค์หญิงอัยการ” ทรงงานช่วยเหลือประชาชน ขอให้พระองค์ทรงหายพระประชวร ทรงพระเจริญ

บทความจาก หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย ฉบับวันที่ 1-7 กันยายน พ.ศ. 2540

สัมผัส…ชีวิตสามัญ ของเจ้านายองค์น้อยในแดนโดม

เมื่อวันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม 2540 พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ประทานอนุญาต ให้ผู้แทนกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “มหาวิทยาลัย” เข้าเฝ้าเพื่อสัมภาษณ์ ณ โต๊ะรพีพัฒน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในการนี้ผู้สัมภาษณ์ ขอประทานอนุญาต เขียนบทความชิ้นนี้ โดยไม่ใช้คําราชาศัพท์ เพื่อเป็นการบอกเล่า เรื่องราวอันประทับใจ ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด

เวลาล่วงเข้าไปใกล้บ่ายสามโมง เราทั้งสองคนได้รับมอบหมายจากกองบรรณาธิการเข้าสัมภาษณ์พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งได้นัดหมายไว้ในเวลา 15.00 น.

เราทั้งสองคนนั่งลงเพื่อรอพระองค์ตรงสถานที่นัดหมาย พยายามระงับความตื่นเต้นและกังวลทั้งหลายที่ผุดขึ้นมา การสัมภาษณ์ครั้งนี้ แตกต่างไปจากการสัมภาษณ์วาระอื่น ๆ เพราะผู้ให้สัมภาษณ์คือ เจ้านายพระองค์น้อยแห่งราชวงศ์จักรีผู้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแห่งสยามประเทศ

ผ่านเวลานัดไปครึ่งชั่วโมง พอที่เราทั้งสองจะระงับความตื่นเต้นลงได้บ้าง พอดีกับ “พระองค์ภา” เสด็จมายัง

โต๊ะ ที่เราทั้งสองนั่งรออยู่ จึงได้เริ่มบทสนทนาขึ้น

พระองค์ภา

“สวัสดีค่ะ” นั่นเป็นประโยคแรกที่หลุดจากปาก และถ้าตั้งใจฟังเสียงจะสั่นเล็กน้อย แต่กระนั้นก็มีกําลังใจถามต่อไปว่า

“พระองค์พร้อมให้สัมภาษณ์หรือยังคะ”

“พระองค์ภา” เลือกเรียนนิติศาสตร์ เพราะทรงเห็นว่า “จะทำประโยชน์ได้มาก”

ท่านตอบอย่างเป็นกันเองว่า “ค่ะ” พร้อมพาเราไป นั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ในทันที เนื่องจากโต๊ะกลุ่มของท่านเต็มไปด้วยพระสหายที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวและจ๊อกแจ๊กเพราะเพิ่งเสร็จจากการเรียน

“ทําไมถึงเลือกเรียนนิติฯคะ ทั้ง ๆ ที่คณะนี้เรียนหนักมาก”

ท่านตอบยิ้ม ๆ “ชอบค่ะ รู้สึกว่าการเรียนคณะนี้ จะทําประโยชน์ได้มาก”

แม้ไม่ได้บอกว่าทําประโยชน์อะไร เราก็รู้สึกว่าต้องเป็นประโยชน์แก่พสกนิกรชาวไทยอย่างเราๆ แน่นอน

“ทําไมจึงเลือกเรียนที่ธรรมศาสตร์ล่ะคะ” คําถามต่อไปติดตามมาอย่างรวดเร็ว

” ที่นี่มีชื่อเสียงทางด้านนี้และเป็นสถาบันที่เปิดสอน มานานและค่อนข้างเก่าแก่ด้วย” (เหมือนได้ยินเสียงปรบมือเกรียวกราวจากคณะนิติศาสตร์ยังไงไม่รู้)

เคยอ่านหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยไหมคะ

“เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยอ่าน”

เพื่อนที่โต๊ะส่งเสียงดังจนท่านหันไปมองและบางคนมาด้อม ๆ มอง ๆ ว่าท่านกับเราทั้งสองกําลังทําอะไรกันอยู่ แต่เรายังคงดําเนินการสัมภาษณ์ต่อไป

ตั้งพระทัยเรียนอย่างแรงกล้า

“ผลการสอบมิดเทอมที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างคะ” ท่านตอบด้วยสีหน้าเศร้า ๆ นิดหนึ่งว่า “ผลที่ออกมาไม่ดีเลยทั้งในสายตาตัวเองและสายตาของคนอื่นด้วย”

ท่านไม่ได้แสดงความท้อแท้ออกมา แต่ท่านแสดงให้เห็นว่าจะต้องตั้งใจใหม่ โดยที่ย้ำคําว่า “ตั้งใจกว่านี้ ตั้งใจกว่านี้” ซ้ำๆ กันสี่ห้าครั้ง จนรู้สึกถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้าของท่าน

การสนทนาดําเนินมาเรื่อย ๆ อย่างเป็นกันเอง ในช่วงหนึ่งท่านได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแต่งชุดนักศึกษา เพราะในวันนั้นท่านสวมชุดไปรเวทซึ่งแตกต่างไป จากทุกวันที่ต้องแต่งเครื่องแบบ เราจึงถามความเห็นของท่าน

“อังคารถึงศุกร์ต้องแต่งเครื่องแบบทุกวันอยู่แล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่แต่งเครื่องแบบก็สบายดี แต่งเครื่องแบบเรียบร้อย เอาเป็นว่าแต่งบ้างไม่แต่งบ้างดีกว่า”

เราทั้งสองคนแอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ อย่างน้อยท่านก็มีความรู้สึกถึงความเป็นอิสระในการเลือกแต่งกายได้บ้าง แต่ก็อยู่ภายในกรอบของข้อบังคับอย่างเคร่งครัด

ทรงอ่อนน้อมถ่อมตน

เราหันกลับมาเรื่องการเรียนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเอ่ย ถึงพี่นาถสินี ซึ่งได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คณะนิติศาสตร์คนแรกในรอบ 18 ปี ว่าท่านรู้จักหรือมีโอกาส พูดคุยด้วยหรือยัง ท่านตอบว่ายังไม่เคยพบ และได้พูดติดตลกว่า “เขาเก่งเว่อร์ไปหรือเปล่า!!” แล้วท่านก็หัวเราะ

พร้อมกับพูดถึงตัวเองว่า “ทําไม่ได้หรอก ไม่มีทางทําได้อยู่ แล้ว” และท่านยังถ่อมตัวอีกว่า “สี่ปียังไม่รู้จะเรียนจบหรือเปล่า” แล้วทั้งท่านและเราทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อม ๆ กัน จากนั้นท่านก็เสริมว่า “ยากมาก….(ลากเสียงยาว)” จน เรารู้สึกว่าคงจะยากมากจริง ๆ

“ท่านโดดเรียนบ้างหรือเปล่า” คําถามที่ทุกคนอยากรู้ “โดดบ้าง” ท่านหัวเราะเขินๆ ทั้งเหตุการณ์บังคับ และเจตนา” เราทั้งสองแอบมองตากันด้วยความรู้สึกเดียวกันในใจว่า เหตุผลของท่านคงไม่แตกต่างจากนักศึกษาคนอื่น ๆ เท่าไร แต่ต้องหยุดความคิดไว้ชั่วขณะเมื่อ

ท่านได้ให้คติเตือนใจว่า

โดดแล้วรู้เลยว่ามันไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่อง ไม่ทันเค้า ต่อไปจะไม่โดดอีกแล้ว”

เพื่อนที่โต๊ะยังรักษาความเจี๊ยวจ๊าวเอาไว้และเหมือนจะเพิ่มระดับเสียงขึ้นเมื่อมีการงัดกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกัน ระหว่างนี้ท่านเริ่มหันเหความสนใจออกจากวงสนทนาชั่วขณะ คิดว่าท่านคงอยากไปร่วมถ่ายรูปกับเพื่อน แต่หน้าที่บังคับ เราทั้งสองคนให้ถามท่านต่อ

“ท่านแบ่งเวลาระหว่างการเรียนกับการปฏิบัติภารกิจอย่างไร” คําถามที่ตั้งใจต้องค้างอยู่ที่ริมฝีปาก เมื่อท่านผละ จากเราไปร่วมถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ที่โต๊ะกลุ่มก่อน แล้วท่านก็กลับมานั่งที่เดิม เราจึงเปลี่ยนมาถาม คําถามเบา ๆ กับท่านบ้าง

“ได้ยินข่าวว่าท่านสมัครเป็นลีดเดอร์ในงานฟุตบอลประเพณี”

“มีรุ่นพี่มาชวนเห็นเพื่อนไปก็เฮไป แต่พอไปดูซ้อมแล้ว รู้สึกว่าคงไม่ไหว เพราะเรียนหนักอยู่แล้วด้วย

งานอดิเรกทรงรักการขี่ม้า พระอารมณ์ขัน “พระองค์ภา” เล่าที่มาตั้งชื่อม้าว่า “กลาก”

“ท่านมีงานอดิเรกอะไรบ้างคะ”

“ขี่ม้า ส่วนใหญ่จะไปตอนเลิกเรียนที่สนามม้ากองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์แถวสนามเป้า”

 “ท่านมีม้ากี่ตัวคะ”

“ที่เป็นของตัวเองจริง ๆ มีสามตัว ดูแลให้คนอื่นอีกสองตัว”

“มีชื่ออะไรบ้างคะ”

ท่านทําท่าจะพูดต่อแต่เรายื่นกระดาษให้ท่านช่วยเขียนให้ ท่านรับกระดาษไปเขียน พอเขียนเสร็จท่านยื่นกลับมา เราสะดุดใจกับชื่อม้าตัวสุดท้ายที่ท่านเขียนว่า “กลาก”

ท่านหัวเราะแล้วอธิบายว่า “ตัวนี้เป็นโรค รักษาแล้วยังมีรอยอยู่เหมือนเป็นโรคกลาก ก็เลยเรียก “กลาก”

 “ทราบว่าท่านชอบแต่งกลอน”

“แต่งบ้าง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลา”

“จะขอให้ท่านช่วยแต่งกลอนเพื่อเป็นเกียรติกับหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย”

ท่านอมยิ้มน้อย ๆ แล้วถามเราว่า “เนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่องอะไรบ้างคะ”

“ชมนก ชมไม้ ชมธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตก็ได้ค่ะ” ตรงนี้ท่านถึงกับหัวเราะ

แม้เราทั้งสองคนจะคะยั้นคะยอให้ท่านช่วยแสดงฝีมือในเชิงกาพย์กลอน แต่ก็น่าเสียดายที่ท่านเหนื่อยเกินกว่าที่จะถ่ายทอดความรู้สึกใดๆให้ออกมาได้ ก็คงต้องอดใจรอติดตามกันต่อไป

“หัวไม่แล่น กําลังตื้ออยู่กับกฎหมาย (วิชาเรียนของวันนี้)”

พระองค์ภา นิติศาสตร์

เจ้าหญิงองค์น้อยที่ทรงไม่ถือพระองค์ “พระองค์ภา”

การสนทนาถูกคั่นด้วยการออกไปถ่ายรูประหว่างท่านกับพระสหายเป็นระยะ ๆ คราวนี้พิเศษที่มีอาคันตุกะ สี่ขามาร่วมถ่ายรูปกับท่านด้วย ท่านไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด กลับหยอกล้อและดึงมาร่วมถ่ายรูปอย่างไม่ถือพระองค์

เนื่องจากเราทั้งสองคนยังไม่ได้รับประทานข้าวกลางวัน กระเพาะอาหารจึงอุทธรณ์ขึ้น และจุดประกายให้ เกิดคําถามถึงเรื่องอาหารการกินของท่านในมหาวิทยาลัย

“ส่วนใหญ่ก็ทานที่ร้าน อ. (นามสมมุติ) พี่แนะนำว่า หมูทอดกระเทียมอร่อย (ท่าน ระบุชื่อร้านไว้ด้วย แต่ ด้วยจรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์จึงไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะอาจเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าขึ้น)

“ท่านรู้จักศูนย์ลาวไหมคะ”

“ตรงเอไอทีใช่ไหม”

เรามองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่แน่ใจว่าใช่ที่เดียวกันหรือเปล่า เลยถามต่อไปว่า “ท่านชอบทานส้มตำหรือเปล่าคะ”

“ก็ทานบ้าง ที่โรงอาหาร”

“แล้วอาหารอย่างอื่นล่ะคะ”

“ก็มีลูกชิ้นทอดข้างเซเว่น”

…เวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร ใกล้เวลาที่ท่านต้องไปฝึกซ้อมขี่ม้า เราจึงขอคําถามสุดท้ายให้ท่านฝากอะไรถึง เพื่อน ๆ ชาวโดม

“ขอให้เพื่อน ๆ โชคดีในการเรียน สี่ปีให้ทุกคนจบ และหวังว่าเราคงจบด้วย (หัวเราะเสียงใส)

และทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนอําลาว่า “ให้โชคดีในการเรียนและความรัก…”

เมื่อท่านกลับไปแล้ว เราสองคนได้มีโอกาสคุยกับ เพื่อนร่วมโต๊ะถึงความรู้สึกที่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับท่าน ซึ่งเราได้คุยกับน้องมด น้องมิ้ง น้องต่าย น้องปู น้องโอ๋ และน้องอี๊ด

“ตื่นเต้น เกร็งนิดหน่อย แต่ก็เป็นแค่วันแรกเท่านั้น”

ท่านมาทักก่อน แรกๆทุกคนจะลงท้ายด้วย “ค่ะ” เสมอ

แล้วน้อง ๆ ก็เล่าต่อไปว่าหลังจากนั้นก็ลดความเป็นทางการลง แต่ก็ยังคงเรียก “ท่าน” อยู่ทุกครั้ง แม้ท่านจะบอกให้เรียกว่า “ภา” ก็ตาม

“ท่านเป็นกันเอง น่ารัก บางครั้งถ้าไม่มีงานก็จะมานั่งที่โต๊ะ แต่ท่านมีงานเยอะมาก”

แล้วเราก็ถามเรื่องในห้องเรียนบ้าง

“ท่านมักจะนั่งกลางห้อง บางทีก็หลังห้องบ้าง ท่านไม่เคยหลับในห้อง แต่มีอ่อนเพลียบ้าง”

เมื่อถามถึงเรื่องขี่จักรยานซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐานของ นักศึกษาธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก็ได้รับคำตอบจากเพื่อนที่เคยให้ท่านนั่งซ้อนท้ายจักรยานว่า “เคยให้ท่านซ้อนไปบร.4 ซึ่งตอนขี่จะมีองครักษ์คอยวิ่งตาม” เราสองคนนึกภาพตามไปด้วย คงเป็นภาพที่แปลกตาและสนุกสนานอยู่มาก

จากการสนทนาก็ได้ประจักษ์ว่า เจ้านายองค์น้อย ได้ใช้ชีวิตนักศึกษาเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป แต่อาจจะแตกต่างกันก็ด้วยความรับผิดชอบที่พระองค์ทรงดํารงอยู่ในฐานะเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่มีภารกิจ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร ชาวสยามของพระองค์

ขอพระมิ่งขวัญเมืองทรงพระเจริญ

ที่มา : หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย ฉบับวันที่ 1-7 กันยายน พ.ศ. 2540

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : แถลงการณ์สํานักพระราชวังฉบับที่ 3 “พระองค์ภา” พระอาการ ยังไม่ทรงรู้พระองค์