ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง “กมลา แฮร์ริส” ตัวแทนพรรคเดโมแครต และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตัวแทนพรรครีพับริกัน ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ สถานการณ์ค่อนข้างสูสีกันมาก
จากข้อมูลโพลล่าสุดเผยให้เห็นว่า “แฮร์ริส” มีคะแนนนิยมทั่วประเทศนำอยู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้ระบบคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College)
ดังนั้น คะแนนเสียงจากการโหวตทั่วประเทศไม่ได้หมายความว่าจะชนะเสมอไป ต้องดูคะแนนจากรัฐสำคัญที่เรียกว่า Swing States” หรือรัฐสมรภูมิที่มีการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสองพรรคการเมืองหลัก ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งผลการเลือกตั้งในรัฐเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ขาดที่สำคัญ
จากการสำรวจโพลหลายแห่งพบว่า ทั้ง แฮร์ริส และ ทรัมป์ กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในรัฐสำคัญ เช่น แอริโซนา, เพนซิลเวเนีย, และจอร์เจีย ซึ่งรัฐเหล่านี้มักจะไม่เอนเอียงข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน และ ถ้าหากใครชนะในรัฐสมรภูมิที่สำคัญก็จะมีโอกาสสูงในการได้คะแนนเสียง 270 คะแนนในคณะผู้เลือกตั้งเพื่อชนะการเลือกตั้ง
กลยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายคือ การกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มประชากรในชุมชนชานเมืองและกลุ่มผู้โหวตที่ยังไม่ตัดสินใจ
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า และนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้ชนะในการเลือกตั้งและวิธีการที่สหรัฐฯ วางตัวในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลต่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยด้วย
หาก โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นโยบายการค้าและเศรษฐกิจ
“ทรัมป์” มีแนวโน้มใช้แนวทาง “America First” ซึ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และส่งเสริมการผลิตภายในสหรัฐฯ การใช้นโยบายภาษีนำเข้าเช่นเดียวกับที่เคยทำกับจีนในสมัยแรกอาจเกิดขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเอเชีย รวมถึงไทยที่พึ่งพาการค้ากับจีนและสหรัฐฯ เป็นหลัก หากสหรัฐฯ เดินหน้านโยบายเช่นนี้ ไทยอาจต้องปรับตัวเพื่อรักษาตำแหน่งในตลาดการค้าสหรัฐฯ หรือตลาดอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงจากการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า
การปรับนโยบายสหรัฐฯ ต่อจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทรัมป์มักมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน ซึ่งอาจเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ การที่สหรัฐฯ จะเสริมความร่วมมือกับไทยในด้านความมั่นคงอาจเพิ่มขึ้น แต่ไทยก็ต้องระวังในการรักษาความสัมพันธ์กับจีน เนื่องจากไทยพึ่งพาการลงทุนและการค้ากับจีนเป็นอย่างมาก
ผลกระทบต่อการลงทุน
หากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ยกระดับนโยบายการดึงการผลิตกลับประเทศ อาจส่งผลให้การลงทุนจากสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทย ลดลง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการดำเนินนโยบายปกป้องทางการค้าอาจทำให้ไทยต้องปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนจากประเทศอื่น ๆ
หาก กมาลา แฮร์ริส เป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นโยบายการค้าและเศรษฐกิจ
“แฮร์ริส” มีแนวโน้มสนับสนุนการค้าเสรีและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ การกลับมาของนโยบายการค้าเสรีและการส่งเสริมพันธมิตรในเอเชียอาจเปิดโอกาสให้ไทยขยายการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เทคโนโลยีและยานยนต์ นอกจากนี้ การฟื้นฟูข้อตกลงทางการค้าเช่น CPTPP อาจมีผลต่อโอกาสการค้าและการลงทุนของไทยด้วย
การปรับนโยบายสหรัฐฯ ต่อจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้ “แฮร์ริส” จะยังคงมุ่งเน้นการจัดการปัญหาความขัดแย้งกับจีน แต่อาจใช้วิธีการทางการทูตและการเจรจามากกว่าการเผชิญหน้าแบบแข็งกร้าว ซึ่งอาจช่วยให้ประเทศไทยสามารถรักษาความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐฯ และจีนได้อย่างสมดุล ลดความกดดันในการเลือกข้างระหว่างมหาอำนาจสองฝ่าย
การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต นั้น“แฮร์ริส” มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายที่เน้นการสร้างพันธมิตรและความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสหรัฐฯ อาจสนับสนุนโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาคนี้ ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนด้านความมั่นคงและการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือในประเด็นทางภูมิศาสตร์การเมืองกับประเทศเพื่อนบ้าน
https://www.270towin.com/2024-presidential-election-polls/#google_vignette
https://ig.ft.com/us-elections/2024/polls
https://www.270towin.com/polls/latest-2024-presidential-election-polls