

สรุปสาระสำคัญ “ก้าวต่อไปไกลทั้งแผ่นดิน” จาก “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิด 4 ปัญหาประชาธิปไตยแบบไทยๆ
- ภัยคุกคามของการเมืองแบบชนชั้นนำ
- คือการเมืองของประชาชน
“ถ้าพวกคุณต้องการความเป็นธรรมในประเทศนี้ จงอย่าเรียกร้องหาความยุติธรรมในแบบสากล แต่จงสยบยอมและพิทักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมการเมืองแบบจารีต และระบบนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชนของไทยเอาไว้ เมื่อท่านยอมรับ เมื่อท่านก้มหัว ท่านจะได้ความกรุณาปราณี”
วานนี้(24ก.ย.) ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พรรคก้าวไกล ได้จัดงาน “ก้าวต่อไปไกลทั้งแผ่นดิน” เปิดทอล์กการเมือง “ตื่นเถิดประเทศไทย” นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า บางคนบอกว่า ช่วงเวลานี้กำลังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ผมเกรงว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าเราจะตอบคำถามนี้ได้ ต้องพิจารณาว่าอะไรคือปัญหาของประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ผ่านมา

ขุด 4 ต้นตอปัญหาประชาธิปไตยแบบไทยๆ
- ปัญหาที่ 1 คือเรื่องอำนาจ เรามีกองทัพ ตุลาการภิวัตน์ และอำนาจนอกระบบอยู่เหนืออำนาจของประชาชน ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ เราเห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เคารพอำนาจประชาชน แต่สยบยอมต่ออำนาจที่ต้องการอยู่เหนืออำนาจของประชาชน
- ปัญหาที่ 2 คือเรื่องรัฐราชการรวมศูนย์ ปิดทับศักยภาพของสังคมไทย เป็นระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยการทุจริต และไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน หลังจากรัฐประหาร 2549 และ 2557 พยายามอย่างมากที่จะดึงอำนาจจากท้องถิ่นกลับไปอยู่ส่วนกลาง แต่สิ่งที่เราเห็นจากนโยบายรัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ คือการกระจายอำนาจด้วยการบริหารแบบผู้ว่า CEO
- ปัญหาที่ 3 คือเรื่องทุนใหญ่ ผูกขาดควบคุมระบบเศรษฐกิจ ระบบแบบนี้ไม่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม ใครอยากโตต้องสร้างคอนเนกชั่นเส้นสาย แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา กลับเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินมหาศาล และหลังการเลือกตั้งเราก็เห็นกลุ่มทุนใหญ่กลุ่มทุนผูกขาด กลายมาเป็นผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง ทั้งๆ ที่หลังรัฐประหารเป็นต้นมา ปัญหาทุนใหญ่ผูกขาดหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาคพลังงาน โทรคมนาคม และค้าปลีก
- ปัญหาที่ 4 คือนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน เรามีปัญหาเรื่องนี้มายาวนาน ภายใต้วัฒนธรรมการเมืองแบบจารีตที่ส่งเสริมสังคมเหลื่อมล้ำต่ำสูง กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายไม่มีอยู่จริง ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไม่ได้มุ่งประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน หลังรัฐประหารประชาชนจำนวนมากถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงเพียงเพราะออกมาแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมือง

เมื่อท่านก้มหัว ท่านจะได้ความกรุณาปราณี
“แต่ในวันที่เราได้นายกฯ คนใหม่ ภาพที่เราเห็นอีกที่หนึ่งกลับเป็นเหมือนคำประกาศอย่างชัดเจน ว่าถ้าพวกคุณต้องการความเป็นธรรมในประเทศนี้ จงอย่าเรียกร้องหาความยุติธรรมในแบบสากล แต่จงสยบยอมและพิทักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมการเมืองแบบจารีต และระบบนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชนของไทยเอาไว้ เมื่อท่านยอมรับ เมื่อท่านก้มหัว ท่านจะได้ความกรุณาปราณี”
เราไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะที่ผ่านมา การเมืองไทยยังเป็นการเมืองของชนชั้นนำ
การเมืองของชนชั้นนำ คือการเมืองที่อนุญาตให้มีรัฐประหารได้ตลอดเวลา ถ้านายพลลากรถถังเอาอาวุธมาฉีกรัฐธรรมนูญยึดอำนาจ ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ถ้าคุณไปโพสต์เฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ ในแบบที่ผู้มีอำนาจไม่อยากเห็นไม่อยากได้ยิน คุณอาจต้องติดคุกเป็นสิบปี หรือไม่ก็ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต

การเมืองของชนชั้นนำไทย มีประชาชนเป็นเพียงไม้ประดับ
การเมืองของชนชั้นนำของไทย คือการเมืองที่ยอมให้ประชาชนออกมาเลือกตั้งได้เป็นพักๆ แต่จะไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นเพียงไม้ประดับ
การเมืองของชนชั้นนำคือการเมืองที่อนุญาตให้พรรคการเมืองต่างๆ แข่งขันกันได้ผ่านระบบเลือกตั้ง แต่จำกัดให้เป็นการแข่งขันกันเพื่อผลัดกันไปมีอำนาจ ผลัดกันไปแบ่งสันปันส่วนเก้าอี้ แต่จะไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองแข่งขันกันไปเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบและโครงสร้างอย่างที่เป็นอยู่เด็ดขาด
การเมืองของชนชั้นนำยังพยายามกล่อมเกลาให้ประชาชนไม่กล้าฝันใหญ่ แต่จงอยู่ให้เป็น คิดเสียว่ามาขออาศัยเขาอยู่ จงยอมรับเสียเถิดว่า ประชาชนอย่างเราๆ นั้นไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในประเทศนี้ได้ หากเจ้าของบ้านตัวจริงไม่อนุญาต

สังคมไทยไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
โลกพร้อมบดขยี้สังคมไทยตลอดเวลา
ในอดีตการเมืองแบบนี้อาจจะพอนำพาสังคมไทยให้เติบโตได้ เมื่อ 50-60 ปีก่อน เราเป็นกันแบบนี้ก็ยังพอไปได้ เพราะมหาอำนาจโลกตะวันตกก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคการพัฒนา เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ เมื่อ 40 ปีก่อน เราเป็นกันแบบนี้ก็ยังพอไปได้ เพราะเราได้อานิสงส์จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ญี่ปุ่นเลือกย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยเพื่อเป็นฐานการส่งออก เมื่อ 30 ปีก่อน เราเป็นกันแบบนี้ก็ยังพอไปได้ เพราะเราได้อานิสงส์จากโลกาภิวัตน์ เงินทุนไหลเข้ามามหาศาลจนร่ำรวยจากตลาดหุ้นและการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์
แต่หลังจากเศรษฐกิจฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ ในสมัยที่ผมเป็นนักศึกษาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ดูเหมือนว่า เราจะอยู่กันแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเราไม่สามารถคาดหวังให้ได้รับอานิสงส์จากกระแสโลก ท่ามกลางโลกยุคใหม่ที่ผันผวนอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยที่สังคมไทยไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากภายในได้ โลกพร้อมบดขยี้สังคมไทยตลอดเวลา

การต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกลุ่มใหม่กับกลุ่มเก่า
ส่งผลสะเทือนมาถึงประชาชน
เกิดความขัดแย้งกันระหว่างประชาชน
ดังนั้น การพยายามออกจากการเมืองของชนชั้นนำแบบเดิม จึงเป็นโจทย์สำคัญแห่งยุคสมัย ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีก
หลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง สังคมไทยพยายามจะปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ ดูเหมือนจะมีความหวังขึ้นมา แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการรัฐประหารอีก 2 ครั้ง จากนั้นชนชั้นนำทางการเมืองกลุ่มใหม่ที่มีฐานมาจากระบบเลือกตั้ง ก็พยายามต่อสู้กับชนชั้นนำทางการเมืองจารีต รวมถึงกองทัพ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ
การต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกลุ่มใหม่กับกลุ่มเก่า ยังได้ส่งผลสะเทือนมาถึงประชาชน เกิดความขัดแย้งกันระหว่างประชาชน หลายคนบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ก็ถูกดำเนินคดี ขณะเดียวกัน ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดสำนึกทางการเมืองแบบใหม่ ประชาชนจำนวนมากต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้อำนาจเป็นของประชาชนจริงๆ ประชาชนจำนวนมากเรียกร้องการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน

ภัยคุกคามของการเมืองแบบชนชั้นนำ
คือการเมืองของประชาชน
แต่สุดท้ายหลังจากต่อสู้กันมา 20 ปี ชนชั้นนำทั้ง 2 กลุ่มก็พบว่า พวกเขาจำเป็นต้องกลับมาจับมือกัน พวกเขาสามารถแบ่งสรรปันส่วนอำนาจกันได้ตามลำดับชั้น เพราะสิ่งที่อันตรายกว่าสำหรับชนชั้นนำ คือสำนึกใหม่และความต้องการการเปลี่ยนแปลงของประชาชน
พูดอีกอย่างคือ ภัยคุกคามของการเมืองแบบชนชั้นนำ คือการเมืองของประชาชน นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น สถานการณ์ขณะนี้ จึงไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย แต่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำทางเมืองจารีตกับชนชั้นนำทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ไปสู่การต่อสู้ระหว่างการเมืองของชนชั้นนำกับการเมืองของประชาชน และนี่คือรากฐานทางการเมืองของรัฐบาลในปัจจุบัน และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองไทยบทใหม่
ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป้าหมายสำคัญของการเมืองแบบอนาคตใหม่-ก้าวไกลต่อจากนี้ คือต้องเปลี่ยนสิ่งที่การเมืองของชนชั้นนำบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นสิ่งที่สังคมไทยปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป

เปิดยุทธศาสตร์ 4 ด้าน 2ภารกิจเฉพาะหน้าพรรคก้าวไกล
ภายใต้เป้าหมายนี้ พรรคก้าวไกลจะมียุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้านและภารกิจเฉพาะหน้า 2 ภารกิจสำคัญ
- ยุทธศาสตร์แรก คือสร้างพรรคก้าวไกลให้เข้มแข็ง : เป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนจริงๆ จากนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันขยายสมาชิกพรรค ขยายการมีส่วนร่วมของประชาชน ช่วยกันปักธงทางความคิด ทำให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เมื่อช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง
- ยุทธศาสตร์ที่สอง คือฝ่ายค้านในสภา : เป็นความรับผิดชอบของพรรคฝ่ายค้านที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่ ให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร เหมือนที่เคยพิสูจน์กับพี่น้องประชาชน ดุดันด้วยเนื้อหา ท่วงทำนองสุขุมคัมภีรภาพ รวมทั้งผลักดันกฎหมายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ
- ยุทธศาสตร์ที่สาม คือฝ่ายค้านเชิงรุก
ยุทธศาสตร์ที่ 4 คือตรึงพื้นที่เก่า รุกพื้นที่ใหม่ : พื้นที่ไหนที่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือก สส. ก้าวไกล ต้องเร่งทำงานพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้แทนราษฎรของเราทำงานไม่เหมือนใคร ส่วนพื้นที่ไหนที่ยังไม่ชนะ ขอเชิญชวนให้สมาชิกพรรคทุกท่านช่วยทำพรรคให้เข้มแข็งขึ้นและช่วยเฟ้นหาคนที่ดีที่สุด ที่จะมาเป็นผู้แทนราษฎรของพวกเรา

2ภารกิจเฉพาะหน้า
- “การเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ” หลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะสร้างกลไกเพื่อให้สมาชิกพรรคเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ เป้าหมายไม่ใช่เพื่อสร้างหัวคะแนนในการเลือกตั้งใหญ่ แต่คือการผลักดันการกระจายอำนาจ ทลายรัฐราชการรวมศูนย์ในทางปฏิบัติให้เป็นจริง
- “การร่วมกันผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน” ขอให้สมาชิกพรรคร่วมกันรณรงค์เรียกร้องให้มีประชามติ ถามประชาชนว่าต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ และต้องทำโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งหมด ไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องมีข้อยกเว้น เพราะประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ

ขอให้เอาน้ำตา เอาความเสียใจไว้ข้างหลัง
“ผมทราบดีว่าพวกเราเสียใจ หลายคนสิ้นหวัง เสียน้ำตาเพราะพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งแต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นับจากนี้ต่อไป ขอให้เอาน้ำตา เอาความเสียใจไว้ข้างหลัง เราลองนึกถึงสังคมการเมืองไทยก่อนจะมีอนาคตใหม่ก้าวไกล วันนี้พวกเราช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดไหน ไม่มีอะไรต้องเสียใจ มีแต่ต้องเดินหน้า จับมือร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้มากกว่านี้เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ก้าวต่อไปก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”