‘สภาพัฒน์’ เปิดข้อมูลหนี้เสียพุ่งสูงกว่าโควิด แนะหั่น ‘ค่าต๋ง’ ตัดหนี้ครัวเรือนต้องทำเฉพาะกลุ่ม เผย NPL สินเชื่อรวมไตรมาสที่ 2 /67 พุ่งสูง 8.5% ตามข้อมูลเครดิต บูโร สูงขึ้นต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติด และสูงกว่าช่วงโควิด แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนภาพรวมปรับลดลง ชี้ลดเงินส่ง FIDF ลง 50% เพื่อมาช่วยแฮร์คัทหนี้ให้ครัวเรือนลงทำได้แต่ต้องเป็นมาตรการเฉพาะกลุ่ม ไม่ควรทำในวงกว้างเพราะจะเกิดปัญหา Moral Hazard ตามมา
แนะรัฐบาลเร่งมาตรการเพิ่มรายได้ประชาชน ส่วนมาตรการปรับเงินจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต ที่คงไว้ที่ 8% จากเดิม 5% อาจกระทบกับความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนหลังหนี้บัตรเครดิต NPL พุ่ง 4.13% ในภาพรวม
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/2567 โดยในประเด็นหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสที่ 1 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่ารวม 16.37 ล้านล้านบาท ขยายตัว 2.5% ชะลอลงจาก 3% ในไตรมาสก่อนหน้า และคิดเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 90.8% ลดลงจาก 91.4% ในไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้หนี้ครัวเรือนที่ปรับลดลงมาจากประเด็นที่ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อแก่ครัวเรือน อย่างไรก็ตามคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์มีมูลค่ารวม 1.63 แสนล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 2.99% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.88% ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน
เครดิต บูโร:NPLs ต่อสินเชื่อรวมใน Q2 เพิ่มต่อเนื่องเป็นไตรมาส 3
ตามข้อมูลของเครดิต บูโร สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 อยู่ที่ 8.5% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 สูงกว่าก่อนช่วงโควิด-19 (ไตรมาสที่ 4 ปี 2562) ที่เคยอยู่ที่ 8% สะท้อนปัญหารายได้ของครัวเรือนที่อาจยังไม่ฟื้นตัว ภายหลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เริ่มสิ้นสุดลง
สำหรับข้อเสนอของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรที่มีการเสนอให้ปรับลดการเก็บเงินสมทบกองทุนเพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงิน (FIDF) ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 0.46 – 0.47% ลงครึ่งหนึ่งแล้วนำเงินที่เหลือไปช่วยลดหนี้ครัวเรือนให้กับประชาชน นายดนุชากล่าวว่าในเรื่องนี้ต้องมีการหารือกันระหว่างกระทรวงการคลัง กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่ามาตรการจะมีผลอย่างไรบ้างเมื่อออกมา โดยในส่วนนี้ก็ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหานี้
การลดหนี้ควรทำเป็นมาตรการเฉพาะกลุ่มแบบเจาะจง
อย่างไรก็ตามหนี้ของกองทุน FIDF นั้นปัจจุบันมีการนำเงินที่เก็บจากสถาบันการเงินในส่วนนี้ไปใช้หนี้เงินต้นที่มีอยู่ ซึ่งหากลดเงินนำส่งลงไปก็จะทำให้การใช้เงินต้นในส่วนนี้ลดลง ทั้งนี้หากจะใช้มาตรการนี้จริง สศช.มองว่าควรทำเป็นมาตรการเฉพาะกลุ่มแบบเจาะจง เช่น เป็นมาตรการที่ช่วยลูกหนี้ที่มีบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือหนี้รถปิคอัพของผู้ประกอบการรายเล็กที่ถือเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน เป็นต้น โดยมาตรการในลักษณะนี้ไม่ควรเป็นการใช้แบบทั่วไป เพราะจะเกิดประเด็นMoral Hazard ให้เกิดขึ้นในสังคมได้
ส่วนประเด็นการปรับลดการจ่ายหนี้ขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ ธปท.ให้คงการจ่ายหนี้ขั้นต่ำไว้ที่ 8% จากเดิมที่จะปรับขึ้นเป็น 10% ซี่งในส่วนนี้ สศช.มองว่าแม้ว่าจะไม่ได้มีการปรับขึ้นไปถึงระดับ 10% แต่การที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8% ในขณะนี้ก็ทำให้ประชาชนบางส่วนที่ขาดสภาพคล่อง และได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวไม่สามารถที่จะจ่ายหนี้บัตรเครดิตในสัดส่วนดังกล่าวได้ เนื่องจากกำลังในการจ่ายหนี้ลดลง เห็นจากที่ NPL ของหนี้บัตรเครดิตปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.5% ในไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 4.13% ในไตรมาสล่าสุด
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สภาพัฒน์ เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ทำมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ปลายปีนี้