

“ซูเปอร์โพล” เผยประชาชนไม่เชื่อมั่น ป.ป.ช. ในการทำหน้าที่ปราบโกง และต้องการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
- ต้องการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชน
- มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
วันที่ 12 พ.ค.2567 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “ปฏิรูปการทำงาน ป.ป.ช.” จากกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวนทั้งสิ้น 1,056 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 7 – 11 พฤษภาคม พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 79.2 รู้สึกเศร้าใจค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ต่อข่าวที่กระทบต่อ ภาพลักษณ์ของ ป.ป.ช. , ร้อยละ 20.08 รู้สึกเศร้าใจ ค่อนข้างน้อย ถึง น้อยที่สุด
เมื่อสอบถาม ถึง ความรู้สึก สูญเสีย ความเชื่อมั่นต่อ ป.ป.ช.ในการทำหน้าที่ เป็นเสาหลัก ปราบ โกง ร้อยละ 85.0 รู้สึก สูญเสีย ค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด, ส่วนร้อยละ 15.0 รู้สึกสูญเสียค่อนข้างน้อย ถึง น้อยที่สุด ขณะ เมื่อถามถึง การรับรู้ผลงานโดดเด่นของ นาย วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ทำงานด้วยความซื่อตรง ร้อยละ 53.8 รับรู้ค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ต่อ ผลงานโดดเด่นของ นาย วิชา มหาคุณ อดีต กรรมการ ป.ป.ช. และนายกล้านรงค์ จันทิก ทำงานด้วยความซื่อตรง ร้อยละ 46.2 รับรู้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
นอกจากนี้ ร้อยละ 93.7 เห็นด้วยค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ต่อการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ กำกับ กิจการที่ดีของหน่วยงานภาครัฐ, และ ร้อยละ 95.4 เห็นด้วยค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุดว่า ถึงเวลาแล้วที่ ป.ป.ช. ต้องปฏิรูปตนเอง
รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุถึงข้อเสนอแนะจาก ประชาชน ต่อ สำนักงาน ป.ป.ช. ด้วยว่า กรรมการ ป.ป.ช. และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทุกคน ทำงานด้วยความซื่อตรง โปร่งใส ไม่ทุจริตเสียเอง ควรลาออก ถ้าอยู่ต่อ ควรกวาดบ้านตนเองให้สะอาดก่อน มากกว่าไปตรวจสอบหน่วยงานอื่นเขา ขจัดระบบอุปถัมภ์
เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้าตรวจสอบ ป.ป.ช. ได้มากขึ้น ให้มีองค์กรอิสระ กลไกรัฐอื่น ๆ ตามกฎหมายเข้าคานอำนาจ และตรวจสอบดำเนินคดีคนใน ป.ป.ช. ได้ ปิดบัง และ คุ้มครอง ผู้ให้ข้อมูล ปรับปรุงเรื่องการ สื่อสาร ให้ชัดเจน ลดความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชน
- ‘ดีอี’ โชว์ผลงานปราบโกงออนไลน์เดือน เม.ย.กว่า 6 พันราย
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ให้ดำเนินการเร่งด่วน และต้องรายงานความคืบหน้าให้ทราบภายใน 30 วัน ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ เพื่อดำเนินงาน
โดยในเดือนเมษายน สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดคดีออนไลน์ทุกประเภทได้ 6,624 ราย เพิ่มขึ้น 2.7 เท่า จากช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 เว็บพนันออนไลน์ มีการจับกุม 3,667 คน เพิ่มขึ้น 3.1 เท่า การจับกุมคดีบัญชีม้า ซิมม้า 366 คน เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ผิดกฎหมาย ทุกประเทศ 16,158 รายการ เพิ่มขึ้น 18 เท่าจากเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา
ปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ 6,515 รายการ เพิ่มขึ้น 38.8 เท่า มาตรการแก้ไขปัญหาบัญชีม้าเร่งอายัดเงินและตัดตอนการโอนเงินเดือนเมษายน สามารถระงับบัญชีม้า 7 แสนบัญชี โดยธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี ศูนย์ AOC ระงับ 101,375 บัญชี และสำนักงาน ปปง. ปิดบัญชีไปแล้ว 325,586 บัญชี นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย กำหนดเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่เพื่อป้องกันการนำเอาบัญชีเหล่านั้นไปกระทำความผิดเพิ่มเติม
ส่วนการระงับซิมม้า และซิมต้องสงสัย ดำเนินการไปแล้ว 800,000 หมายเลข ระงับการโทรออกหมายเลขโทรศัพท์ที่ตรวจสอบเพราะว่ามีการโทรออก 100 ครั้งต่อวัน 36,641 เลขหมาย ส่วนเสาโทรคมนาคม สายโทรศัพท์ และสายอินเทอร์เน็ตที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน กสทช. ร่วมกับ DSI สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงกลาโหม กวาดล้างและอบรมกำลังพลฝ่ายทหารให้กองทัพเข้าไปตรวจสอบได้ตามแนวชายแดนต่างๆ
นายประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เฝ้าระวังชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายประธานผิดกฎหมาย โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ที่หลอกลวงคนไทยไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้ความสำคัญกับจังหวะที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก ประสานความร่วมมือกับต่างประเทศในการปราบปรามจับกุม
โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ประสานเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งอาชญากรรมด้านอื่นๆ โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา (7 พ.ค.) นายกรัฐมนตรี สั่งการเพิ่มเติมให้ดำเนินการต่อเนื่องในทุกประเด็น
ส่วนการเร่งรัดคืนเงินผู้เสียหาย ได้มอบหมายให้ศูนย์ AOC ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ขณะที่สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, X, TikTok, LINE ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และผู้ให้บริการด้านการเงิน จะต้องมีมาตรการเพิ่มความรับผิดชอบกรณีผู้กระทำผิดใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นช่องทางในการหลอกลวงประชาชน หากพบว่าไม่มีมาตรการป้องกันให้เพียงพอ จะต้องมีส่วนรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในการป้องกันความเสียหาย อาจจะต้องประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์แบบเฉพาะเจาะจง เพราะการหลอกลวงการลงทุนมีสถิติที่สุด รวมทั้งการหลอกให้หารายได้ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะต้องเริ่มทำความเข้าใจกับประชาชน
ด้านปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า ความร่วมมือด้านต่างประเทศ ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์เป็นปัญหาทั่วกันในประเทศอาเซียน และจากการประชุมรัฐมนตรีดิจิทัลอาเซียน และตั้งคณะทำงานเพื่อจัดการปัญหานี้ และประเทศไทยเป็นประธานคณะทำงานนี้
พร้อมได้กำหนดแผนงานที่ทำให้สามารถรู้ถึงกลไกการหลอกลวง วิธีการป้องกันปัญหา ทำให้การจัดการด้านอาเซียนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: “ซูเปอร์โพล”เผยคนไทยมองการเมืองร้อนระอุ ก้าวสู่ความขัดแย้ง