

คลังประกาศตัวเลข “หนี้สาธารณะ” ณ 31 มี.ค. 2567 ไทยอ่วมหนี้พุ่งกว่า 11,474,153 ล้านบาท คิดเป็น 63.67% ของ GDP
- ไทยอ่วมหนี้พุ่งกว่า 11,474,153 ล้านบาท
- คิดเป็น 63.67% ของ GDP
วันที่ 2 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง รายงานสถานะ “หนี้สาธารณะ” ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567
ด้วยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 วรรคสอง กําหนดให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 60 วันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปี
โดยรายงานดังกล่าว ต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงิน และค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคม ถึง เดือนมีนาคม และเดือนเมษายน ถึง เดือนกันยายน ตามลําดับ
กระทรวงการคลังขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567 ดังนี้
1.รายงานสถานะหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง มีจํานวน 11,474,153.99 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 63.67 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จํานวน 10,087,188.39 ล้านบาท
หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 1,072,821.61 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทําธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จํานวน 202,269.17 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จํานวน 111,874.42 ล้านบาท
หนี้สาธารณะแบ่งตามอายุเงินกู้คงเหลือ จะเป็นหนี้ระยะยาว ซึ่งเป็นหนี้ที่จะครบกําหนดชําระเกินกว่า 1 ปี จํานวน 9,695,775.49 ล้านบาท หรือร้อยละ 84.50 และหนี้ระยะสั้น ที่จะครบกําหนดชําระภายในไม่เกิน 1 ปี จํานวน 1,778,378.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.50 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ทั้งนี้ หนี้สาธารณะคงค้าง จํานวนทั้งสิ้น 11,474,,153.99 ล้านบาท ประกอบด้วย หนี้ต่างประเทศ (หนี้ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ) เทียบเท่าสกุลเงินบาท จํานวน 141,359.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.23 และหนี้ในประเทศ (หนี้ที่เป็นสกุลเงินบาท) จํานวน 11,332,794.51ล้านบาท หรือร้อยละ 98.77 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ที่ประกาศล่าสุดก่อนหน้านี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 มีจำนวน 11,131,634.20 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.14% ของ GDP
ด้าน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยถึง กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตือนรัฐบาลหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568-2571) ที่ทำให้กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมอยู่ที่ 122,000 ล้านบาท ใกล้เต็มเพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
และอาจไม่มีช่องทางในการรับมือ หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในอนาคต ว่าเป็นคำเตือนที่ดีเพราะในช่วงวิกฤติแปลว่ารัฐบาลต้องมีความเพียงพอของฐานะเงินคงคลัง แต่ก็ต้องเปรียบเทียบกันระหว่างรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรเลยกับดำเนินการบ้าง อันไหนจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่ากัน
“ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเงินคงคลังก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เทียบกับทำแล้วเศรษฐกิจเป็นอย่างไร แต่ก็ถือว่าเป็นคำเตือนที่ดี เราจะรับไปดูอย่างละเอียดเพราะในแง่ของเงินคงคลังแล้ว เราต้องนึกถึงเสถียรภาพด้วย และไม่ได้กังวลกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหนี้สาธารณะว่าจะชนเพดาน 70% เพราะระดับหนี้ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า”
ทั้งนี้ ครม.เห็นชอบปรับแผนการคลังระยะปานกลางโดยในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบ 2567 วงเงิน 122,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบ ปี 2567 วงเงิน 112,000 ล้านบาท และจะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10,000 ล้านบาท ทำให้กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมอยู่ที่ 122,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงินรวม 500,000 ล้านบาท
นายพิชัย กล่าวว่า เร็วๆนี้ จะหารือร่วมกับกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ถึงแนวทาง และหลักเกณฑ์การฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะหารือร่วมกันได้ในเดือน มิ.ย. นี้ได้หรือไม่ หาก FETCO พร้อมก็นัดมาได้ทันที เพราะเราพร้อมอยู่แล้ว
ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง พร้อมรับฟังข้อห่วงใยจาก ธปท.เช่นกัน โดยยืนยันว่า รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ไม่ใช่แค่ปัจจุบัน หรือหลังมีการจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม ปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยมองไประยะข้างหน้า ก็ยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังอย่างแน่นอน ซึ่งเสถียภาพการคลัง ไม่ได้อยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงสำหรับรัฐบาลในการบริหารจัดการ
“เรื่องพื้นที่ทางการคลังนั้น ในการประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา ทุกคนรวมถึง ธปท. เห็นตรงกันว่าตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีความน่าเป็นห่วง และในข้อเท็จจริง กลไกในการบริหารจัดการก็มีที่สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว ไม่ว่าพื้นที่ทางการคลังจะมีเท่าไร แต่การปล่อยให้เศรษฐกิจดำดิ่งไปกว่านี้ คงไม่ได้
ดังนั้นก็ต้องมาดูว่าการเก็บพื้นที่ทางการคลังไว้ โดยไม่ใช้ หรือใช้ 1.22 แสนล้านบาทเลยเพื่อประคับประคองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้เศรษฐกิจพังไปกว่านี้ อะไรจะเหมาะสมมากกว่ากัน” นายจุลพันธ์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “คลัง-แบงก์ชาติ” เห็นพ้อง ปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยประชาชน