“ปานเทพ” ค้านนำช่อดอก “กัญชา-กัญชง” กลับไปเป็นยาเสพติด



ปานเทพ” ค้านนำช่อดอก “กัญชา-กัญชง” กลับไปเป็นยาเสพติด บังคับใช้กฎหมายไม่ได้-ปฏิบัติไม่ได้ กระทบผู้ป่วย เกษตรกร แพทย์แผนไทย

  • บังคับใช้กฎหมายไม่ได้-ปฏิบัติไม่ได้
  • กระทบผู้ป่วย เกษตรกร แพทย์แผนไทย

วันที่ 6 กรกฎาคม 2567 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ต่อร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่จะนำดอกกัญชา และกัญชง กลับเป็นยาเสพติด ว่า

คำแถลงเตือนครั้งสุดท้าย ประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้เหมาะกับการแก้ไขปัญหากัญชา กัญชง และจะสร้างปัญหาใหม่ที่ร้ายแรงกว่า / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ผมได้เป็น 1 ใน 2 คนผู้เป็น “เสียงข้างน้อย” ในคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด โดยในที่ประชุมจำนวน 18 คนเสียงข้างมากได้เห็นชอบให้เสนอแนะประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้ช่อดอกกัญชา และช่อดอกกัญชงให้กลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ผมขอยืนยันว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ในที่ประชุมแล้วด้วย

และไม่ได้แปลว่าผมเห็นด้วยกับการปล่อยเสรีกัญชา หรือกัญชง แต่ในทางตรงกันข้ามผมเสนอให้ร่างเป็นพระราชบัญญัติในการควบคุมกัญชา และกัญชง เป็นการเฉพาะแทน

  • แจงปัญหานำกัญชา-กัญชงกลับเป็นยาเสพติด

และความเห็นที่ผมได้ให้ไปว่าการนำช่อดอกกัญชา และกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด จะเกิดปัญหาอย่างไรบ้างในอนาคตนั้น ได้อยู่ในบันทึกในรายงานการประชุมแล้ว

แต่มีอยู่ 1 ประเด็นที่ผมเห็นว่าสังคมไทยไม่ได้ตระหนักรับรู้ว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับปัจจุบัน ไม่ได้เหมาะกับการใช้เพื่อแก้ไขปัญหา กัญชาและกัญชงแล้ว

ขอย้ำว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยมีพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ และประมวลกฎหมายยาเสพติด

แต่ต่อมาราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ได้มีการยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหลายฉบับให้มาอยู่รววมในฉบับเดียวคือ ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับปัจจุบัน

แต่เนื่องจากในปีนั้น ได้เกิดสถานการณ์ที่มีผู้ใช้กัญชาใต้ดินอย่างมหาศาล โดยผลสำรวจของศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติดได้รายงานว่าผลการสำรวจในปี 2563-2564 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องเสี่ยงใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมายเพราะเข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ และแพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา

โดยมีผู้ใช้กัญชานอกข้อบ่งใช้ในโรคที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขมากถึงร้อยละ 84 (ใช้อย่างผิดกฎหมาย) แต่มีผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นถึงดีขึ้นมากรวมร้อยละ 93 อีกทั้งยังลดและเลิกใช้ยาแผนปัจจุบันร้อยละ 58 แต่คนเหล่านี้ย่อมเสี่ยงเป็นอาชญากรอย่างไม่เป็นธรรม

ด้วยเหตุผลนี้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับปัจจุบันในมาตรา 29 จึงไม่ได้ระบุ ”ชื่อพืช“ กัญชา หรือ กัญชง ให้อยู่ใน ”ตัวอย่าง“ เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ซึ่งแตกต่างจากพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ และประมวลกฎหมายยาเสพติดให้โทษก่อนหน้านั้นทุกฉบับ ด้วยเพราะว่าต้องการ ”เปิดช่อง“ให้กัญชาและกัญชงสามารถถูกปลดล็อกออกจากยาเสพติดและมีกฎหมายควบคุมเฉพาะที่แตกต่างจากยาเสพติดอื่นๆได้

โดยกระบวนการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดจึงเกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกประมาณ 3-4 เดือน และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เพราะในเวลานั้นมีผู้ป่วยใช้กัญชาเป็นผู้กระทำผิดต่อประมวลกฎหมายยาเสพติดจำนวนมาก

แต่ก็ใช้กฎหมายชั่วคราวอื่นๆ ควบคุมไปพลางก่อน โดยหวังว่าร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ซึ่งควรจะถูกตราขึ้นโดยสภาผู้แทนราษฎรให้ได้โดยเร็ว ก็กลายเป็นเกมการเมือง จนทำให้ไม่มีกฎหมายควบคุมในระดับพระราชบัญญัติจนถึงวันนี้

อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับนี้ ไม่ได้ออกมาเพื่อการใช้แก้ไขปัญหากัญชา และกัญชง ยิ่งฝืนทำไปก็จะมีผู้ที่ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจ เกษตรกร ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน จะต้องได้รับความเดือดร้อนยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน โดยจะขอยกตัวอย่าง 2 กรณี

หากคณะกรรมการ ป.ป.ส. หรือรัฐบาล ยืนยันว่าจะนำช่อดอกกัญชา และช่อดอกกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด จะส่งผลทำให้ “สถานพยาบาลที่จำหน่ายกัญชาอยู่แล้ว” เช่น คลินิกกัญชา (รวมถึงคลินิกแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์) ที่จำหน่ายช่อดอกกัญชา ช่อดอกกัญชง หรือสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2 อยู่ในปัจจุบัน

จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 40 และ 95 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่บัญญัติว่าผู้ได้รับใบอนุญาต “การจำหน่าย” กัญชา กัญชงและสารสกัด จะต้องมี “เภสัชกรประจำและตลอดเวลาทำการ”

  • เปลี่ยนกฎหมายขัดแย้งแพทย์แผนไทย

นอกจากจะทำให้สร้างภารต่อสถานพยาบาลเหล่านี้แล้ว ยังอาจเข้าข่ายทำให้เกิดความขัดแย้งกับผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่เดิมเคยจ่ายยาสมุนไพรด้วยตัวเองได้ แต่กลับต้องอาศัยเภสัชกรในสถานพยาบาลแทน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมาตรา 1 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด กำหนดว่าการ “ผลิต” ได้มีความหมายรวมถึงการ “ปลูก”ด้วย แปลว่านอกจากเกษตรกรผู้ที่ปลูกเพื่อให้ได้ช่อดอกกัญชา หรือช่อดอกกัญชง แม้เพียง 1 ต้นขึ้นไปจะต้องขออนุญาตแล้ว

จะต้องมี “เภสัชกรประจำและตลอดเวลาทำการ” ในแปลงเพาะปลูกกัญชา กัญชงทั่วประเทศอีกด้วย ตามมาตรา 40 และ 95 ของประมวลกฎหมายยาเสพติด เราจะแก้ปัญหาได้ดีขึ้นจริงหรือ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นผมจึงเห็นว่าร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เสนอให้นำช่อดอกกัญชา และช่อกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด นอกจากจะมีปัญหาเพราะไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ง่ายแล้ว

  • แนะตราพร บ.กัญชา-กัญชง เป็นการเฉพาะ

หากมีส่วนที่จะบังคับใช้กฎหมายได้ก็กลับสร้างภาระให้กับสถานพยาบาลที่จำหน่ายกัญชาอยู่ทั่วประเทศ และยังสร้างภาระให้กับเกษตรกรรายย่อยอีกด้วย และจะส่งผลทำให้มีผู้ป่วยและเกษตรกรที่กระทำผิดกฎหมายเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น เพราะประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหากัญชา กัญชง

ดังนั้น ทางออกในเรื่องนี้จึงควรตราเป็นพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง เป็นการเฉพาะมากกว่า เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะออกแบบการใช้ประโยชน์ การห้ามใช้ และการคุ้มครองกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้กัญชาหรือไม่ควรใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่การออกแบบภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับนี้ที่จะสร้างปัญหามากกว่า

ข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม : อย่าปิดโอกาสคนป่วย ! “หมอจินตนา” ค้านนำกัญชา กลับเป็น ยาเสพติด

: เว็บไซต์แพทยสภา