สภาพัฒน์ ชี้ ต้องรีบเตรียมตัวรองรับความไม่แน่นอนของนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์

เตรียมตัวรองรับความไม่แน่นอนของนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์
สภาพัฒน์ ชี้ ต้องรีบเตรียมตัวรองรับความไม่แน่นอนของนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์


สศช. เตือนไทยต้องรีบเตรียมตัวรองรับความไม่แน่นอนของนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์ และแก้ไขปัญหาหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่วนจีดีพีไตรมาส 3/67 ขยายตัว 3% ได้แรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐ การส่งออก และท่องเที่ยว พร้อมปรับคาดการณ์จีดีพีตลอดปี 2567 ขยายตัว 2.6%เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 2.5% ประเมินปี 2568 เศรษฐกิจ ขยายตัว 2.8%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่3ของปี 2567 ว่า ขยายตัว 3% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 2.2%ในไตรมาสที่2ของปี 2567 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่3ของปี 2567 ขยายตัวจากไตรมาสที่2ของปี 2567 ที่ 1.2 % เมื่อรวม 9 เดือนแรกของปี2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.3%

“ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว2.6% สูงกว่าการประเมินครั้งก่อนว่าจะอยู่ที่ 2.3-2.8% โดยมีค่ากลางที่ 2.5% อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5 %และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 2.5 %ของจีดีพี พร้อมได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.3 – 3.3 % โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 2.8%”

ปัจจัยที่ทำให้จีดีพี Q 3 ขยายตัว:การลงทุน ส่งออก การผลิต

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีดีพีของไตรมาส 3 ขยายตัวได้ถึง 3% มาจากการลงทุนภาครัฐขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ถึง 25.9 % โดยการลงทุนของรัฐบาลกลับมาขยายตัวในเกณฑ์สูง 43.1 %  อย่างไรก็ตามการลงทุนของภาคเอกชนติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง 2.5%  การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลง 1.1 %  และการผลิตในภาคเกษตรลดลง 0.5% 

สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ 26.3 %   ขณะที่การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 77,221 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ขยายตัวในเกณฑ์สูง  8.9% ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 1.3% กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว25.2% ยาง  55.9% คอมพิวเตอร์ 146.5% ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์  46.5% และอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม 33.2% และด้านบริการ ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติและชาวไทยรวม 582,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8%

ในไตรมาส 3 ก่อสร้าง กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส  

เลขาธิการ สศช. กล่าวต่อไปว่า ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาสาขาก่อสร้าง กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส 15.5 %  โดยการก่อสร้างภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูง  33%  ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนลดลง 5.4 %รวม 9 เดือนแรกของปี 2567 สาขาการก่อสร้างลดลง 2.5% สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.02% เงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 198,500 ล้านบาท เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณสิ้นเดือนก.ย. 2567 อยู่ที่ 243,000 ล้านดอลลาร์  และหนี้สาธารณะณ สิ้นเดือนก.ย. 2567 มีมูลค่าทั้งสิ้น 11.63 ล้านล้านบาท คิดเป็น63.3% ของจีดีพี

“จีดีพีของไตรมาส 4 ของปีนี้ จะขยายตัวเท่าไหร่ยังไม่ขอกล่าวในตอนนี้ โดยผลของการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบางกว่า 14 ล้านคน เกิดขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนก.ย. 2567 จึงจะมาส่งผลในไตรมาส 4 ซึ่ง สศช.ได้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจกลุ่มตัวอย่างที่ต้องเป็นกลุ่มใหญ่พอสมควรเพราะเป็นการแจกเงินสดจึงจะทราบผลต่อเศรษฐกิจของการนำเงินไปใช้ส่วนที่รัฐบาลจะแจกเงินหมื่นเพิ่มเติมให้กลุ่มผู้สูงอายุขอให้รอการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 พ.ย.นี้ก่อนว่าจะดำเนินการในช่วงเวลาไหนและจะส่งผลกระตุ้นต่อจีดีพีไตรมาส 4 ได้เท่าใด”

เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดขยายตัว 2.3 – 3.3%  

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.3 – 3.3% มีค่ากลาง  2.8% มีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐการขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า ทั้งนี้ คาดว่าการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 3% และ 2.8 %ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ ขยายตัว 2.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.3 – 1.3 % และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล2.6% ของจีดีพี

เตรียมพร้อมรับมือผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า

เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 ควรให้ความสำคัญกับ การขับเคลื่อนภาคการส่งออกให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือผลกระทบจากการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น จากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ  โดยในครั้งที่แล้วไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าในปีที่สองหลังจากการบริหารงานของนายโดนัลท์ ทรัมป์

“ไทยต้องเร่งการปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้า และการยกระดับมาตรการกำกับดูแลผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศ”

ขณะเดียวกันต้องขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565 – 2567 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว  การเร่งรัดโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ตลอดจนการดูแลเกษตรกรและสนับสนุนการปรับตัวในการผลิตภาคเกษตร และการให้ความช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อปรับลดลงต่อเนื่อง

นอกจากนี้ควรเร่งรัดดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูงมากนัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูง

ความเสี่ยง ปี 68 : แนวโน้มการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก 

นายดนุชากล่าวว่าความเสี่ยงของปี 2568 มาจากแนวโน้มการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ความยืดเยื้อของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญและแนวโน้มการชะลอตัวมากกว่าที่คาดของเศรษฐกิจจีน ตลอดจนภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงภายใต้ และความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคการเกษตรทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “สภาพัฒน์” ชี้ ไทยควรเตรียมความพร้อมแหล่งพลังงานรับมือความผันผวนปัญหาภูมิรัฐศาสตร์