สศช. เตือนหนี้เสียพุ่งในสินเชื่อบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท

สภาพัฒน์ เตือนสัญญาณอันตราย ยอดหนี้เสียบ้าน กลุ่มคนรายได้ปานกลางพุ่งโดยเฉพาะในสินเชื่อบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท
สภาพัฒน์ เตือนสัญญาณอันตราย ยอดหนี้เสียบ้าน กลุ่มคนรายได้ปานกลางพุ่งโดยเฉพาะในสินเชื่อบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท

สศช. เตือนสัญญาณอันตราย ยอดหนี้เสียบ้าน กลุ่มคนรายได้ปานกลางพุ่ง โดยเฉพาะในสินเชื่อบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท

ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่าในขณะนี้พบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มครัวเรือนรายได้ระดับปานกลาง หรือล่าง

ทั้งนี้จากข้อมูลเครดิตบูโรในไตรมาสสี่ ปี 2566 พบว่า ยอดคงค้างหนี้เสียของสินเชื่อบ้าน ขยายตัวเร่งขึ้นถึง 7% จากไตรมาสที่ผ่านมาที่หดตัว 1.7% หรือ คิดเป็นสัดส่วน 3.6% ต่อสินเชื่อรวม โดยเกือบ 3 ใน 4 หรือ 73.4% เป็นหนี้เสียของสินเชื่อบ้าน วงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนหนี้เสีย ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 4.5% สูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับวงเงินสินเชื่อบ้าน ในระดับอื่น รวมถึงหนี้สินเชื่อบ้านวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ยังมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1 – 3 เดือนต่อสินเชื่อรวม สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน โดยไตรมาสสี่ ปี 2566 มีสัดส่วนอยู่ที่ 4.4% จึงอาจต้องเฝ้าระวัง และ เร่งปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย

ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง

จากข้อมูลธนาคารพาณิชย์ ณ ไตรมาสสี ปี 256 พบว่า ความสามารถ ในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลง โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.88% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.79% ของไตรมาสที่ผ่านมา และ คุณภาพสินเชื่อทุกประเภทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจาก การฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้นจาก 3.24% เป็น 3.34%

และ สินเชื่อยานยนต์มีสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 2.10% เป็น 2.13% ในไตรมาสก่อนหน้า เช่นเดียวกับสินเชื่อที่ครัวเรือนใช้เสริม สภาพคล่อง คือ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน (Stage 2) จำแนกรายวัตถุประสงค์ กลับพบว่า มีเพียงสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นเท่านั้นที่มีสัดส่วนสินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น

หนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มเป็น ที่ 91.3%

ส่วนภาพรวมหนี้สินครัวเรือนพบว่า ชะลอตัวต่อเนื่องในไตรมาสสี่ ปี 2566 และภาพรวมปี 2566 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.36 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3% ลดลงจาก 3.4% ของไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาล เพิ่มขึ้น 0.2% ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Household Debt to GDP) อยู่ที่ 91.3% เพิ่มขึ้นจาก 91% ของไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนขยายตัวชะลอลงเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อบัตรเครดิตและ สินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่สินเชื่อยานยนต์หดตัว โดยสินเชื่อยานยนต์หดตัว 0.6% จากการขยายตัว 0.2% ในไตรมาสก่อน

เนื่องจากสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ จากความกังวลต่อความเสี่ยง ด้านเครดิตของผู้กู้ และคุณภาพสินเชื่อ สินเชื่อ เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ขยายตัว 4.3% ชะลอตัวลงต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและต้นทุนการกู้ยืมที่สูง ทำให้ครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่ายเงินมูลค่าสูง ด้านสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 13.4% จาก 15.6% ในไตรมาสก่อน ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวเร่งขึ้นเป็น 3.5% จาก 1.9% ของไตรมาสที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคลปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยขยายตัว 3.8% เทียบ 3.7% ในไตรมาสก่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : The Journalist Club สัมภาษณ์พิเศษ “ดนุชา พิชยนันท์” เลขาธิการสภาพัฒน์