เชลล์ ระบุการใช้ LNG จะแซงหน้าก๊าซธรรมชาติภายใน 15 ปี

บริษัท เชลล์ ระบุการใช้ LNG จะแซงหน้าก๊าซธรรมชาติภายใน 15 ปี 
บริษัท เชลล์ ระบุการใช้ LNG จะแซงหน้าก๊าซธรรมชาติภายใน 15 ปี

เชลล์ ชี้ว่าการใช้ LNG จะมีสัดส่วน 75% ของแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติใหม่ทั้งหมดของเอเชียไปจนถึงพ.ศ. 2583 จากปัจจุบัน LNG มีสัดส่วนเพียง 14%

เจฟเฟอร์สัน เอ็ดเวิร์ดส รองประธานกรรมการอาวุโส Global Market Analytics, ShellLNG Marketing and Trading
เจฟเฟอร์สัน เอ็ดเวิร์ดส รองประธานกรรมการอาวุโส Global Market Analytics, ShellLNG Marketing and Trading

นายเจฟเฟอร์สัน เอ็ดเวิร์ดส รองประธานกรรมการอาวุโส Global Market Analytics, ShellLNG Marketing and Trading กล่าวถึงความสำคัญของ LNG ในภูมิภาคเอเชียว่า แม้ LNG จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 14% ของปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้ทั่วโลกในปัจจุบัน แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไปพร้อมกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติภายในประเทศของหลายประเทศเริ่มลดลง ทำให้มีการคาดการณ์ว่า LNG จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75% ของแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติใหม่ทั้งหมดของเอเชียไปจนถึงพ.ศ. 2583 และจะแซงหน้าการผลิตก๊าซ ในประเทศในเอเชียในฐานะแหล่งพลังงานหลักของเอเชียที่ใหญ่ที่สุดในปีพ.ศ. 2573 

บริษัท เชลล์ จำกัด (มหาชน)หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานระดับโลก ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองและข้อมูลอัพเดต Shell’s LNG Outlook 2024 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการและความสำคัญของ LNG ที่มีผลต่อความมั่นคงทางพลังงาน การช่วยลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มและโอกาสเติบโตของ LNG ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในงาน FUTURE LNG ASIA: Accelerating Innovation to Drive Asia’s Energy Transition เมื่อไม่นานมานี้

LNG สร้างความเสถียรให้กับการผลิตไฟฟ้าในเอเซีย   

“การที่ LNG ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากประเทศในแถบเอเชียมีการลงทุนด้านพลังงานลมและแสงอาทิตย์จำนวนมากจนนำไปสู่สัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าแบบผันแปรที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยการผลิตไฟฟ้าที่มีความมั่นคงเพื่อสร้างความเสถียรให้กับโครงข่ายไฟฟ้า เมื่อพิจารณาจากการปล่อยคาร์บอนเป็นจำนวนมากจากการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินทั่วเอเชีย จึงทำให้ LNG เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของกระบวนการการผลิตไฟฟ้า” นายเอ็ดเวิร์ดส กล่าว

บริษัทชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่สำคัญของตลาด LNG ทั่วโลก ซึ่งคาดว่า จะมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 50% ภายในปีพ.ศ. 2583 จากปัจจัยหนุนหลายประการ โดยเฉพาะ การเปลี่ยนมาใช้ LNG แทนถ่านหินของอุตสาหกรรม ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการใช้พลังงาน

LNG ช่วยรักษาความมั่นคงด้านการผลิตพลังงาน

LNG มีบทบาทสำคัญ ในการเสริมพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม และ พลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะ ในประเทศที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนสูง การมี LNG เป็นส่วนเสริมในการผลิตพลังงาน ในช่วงที่พลังงานหมุนเวียนขาดความต่อเนื่อง ช่วยให้สามารถรักษาความยืดหยุ่นในระยะสั้น และความมั่นคงในระยะยาวของอุปทานได้

จากรายงาน LNG Outlook 2024 ของเชลล์ ระบุว่า ในปีพ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา การค้า LNG ทั่วโลก มีปริมาณสูงถึง 404 ล้านตัน และเป็นการเพิ่มขึ้น จากปีพ.ศ. 2565 ที่มีปริมาณ 397 ล้านตัน การเพิ่มขึ้นนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ว่าตลาดกำลังขยายตัว แต่ก็ต้องเผชิญ กับความตึงตัวของอุปทาน ที่ส่งผลต่อระดับราคา และ ความผันผวนของราคา ที่ยังคงสูง เมื่อเทียบกับในอดีต โดยจีนมีแนวโน้ม ที่จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความต้องการ LNG ในทศวรรษนี้ เห็นได้จากความพยายาม ของอุตสาหกรรมจีน ที่พยายามลดการปล่อยคาร์บอน โดยเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหิน มาเป็นก๊าซ

นอกจากนี้ การส่งออกก๊าซธรรมชาติ ทางท่อจากรัสเซีย ไปยังยุโรปได้ลดลงอย่างมาก ในปีพ.ศ. 2565 ส่งผลให้ยุโรป ต้องพึ่งพา LNG เป็นหลัก ในการรักษาความมั่นคง ด้านพลังงาน ซึ่งการสร้างสถานี แปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว แห่งใหม่ช่วยให้ยุโรป
มีแหล่งอุปทานที่หลากหลายมากขึ้น

การเติบโตของตลาด LNG ทั่วโลก นับเป็นสัญญาณที่ดีของการเปลี่ยนแปลง ในอุตสาหกรรมพลังงาน ที่เน้นย้ำถึงบทบาท ด้านการลดการปล่อยคาร์บอน และ การใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เชลล์จับมือ BMW ผุด Shell Recharge จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกรองรับทุกแบรนด์ ที่ปั๊มเชลล์ ถนนกาญจนาภิเษก