

คลัง เผยจัดมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 2567 เกือบ 1 แสนล้านบาท ถึงมือประชาชน 740,000 ราย
วันที่ 1 ธ.ค. 2567 นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคใต้ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แล กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่การประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจของประชาชนเป็นอย่างมาก
ดังนั้น เพื่อให้ปัญหาดังกล่าว ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กระทรวงการคลังร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)ได้ร่วมกันออกมาตรการด้านการเงินเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตประจำวัน ประกอบอาชีพ และประกอบธุรกิจต่อไปได้
ส่วนสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือลูกหนี้ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ตามกลุ่มเป้าหมาย ของแต่ละสถาบันการเงิน ทั้งในส่วนของลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ซึ่งมีทั้งมาตรการพักชำระหนี้และลดดอกเบี้ย รวมไปถึงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำตัวอย่างเช่น ธนาคารออมสิน พักชำระหนี้เงินต้น
และลดดอกเบี้ยอัตโนมัติ ให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรายย่อยและ SMEs ธ.ก.ส. ขยายระยะเวลาชำระหนี้ของลูกหนี้เกษตรกร รวมถึงมีระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและยกเว้นดอกเบี้ยปรับ ธอส. ลดเงินงวดและลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่
ลูกค้าสินเชื่อบ้าน ธสน. ขยายระยะเวลากู้ สำหรับผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าทั้งที่มีวงเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาว
ด้าน ธพว. พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงให้วงเงินกู้ฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ ในส่วนของ บสย. ซึ่งค้ำประกันหนี้ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ได้ออกมาตรการช่วยเหลือทั้งที่เป็นลูกค้าของ บสย. และลูกหนี้ ของ บสย.
นอกจากนี้ ธอท. ได้ออกมาตรการพักชำระหนี้เงินต้น และการยกเว้นค่าชดเชยผิดนัดชำระ และธนาคารกรุงไทย ได้ออกมาตรการทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบคลุมการ ลดภาระทางการเงิน ทั้งปรับลดค่างวดการผ่อนชำระ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการให้วงเงินฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องในการดำรงชีพ รวมถึงการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย

ปลัดกระทรวงการ คลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงินของรัฐ 8 แห่งตามที่ได้กล่าวไปแล้ว กระทรวงการคลังยังได้มีมาตรการเสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประสบอุทกภัย ครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบอาชีพอิสระ
เช่น พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่แผงลอย เป็นต้น โดยจัดสรรวงเงินจำนวน 50,000 ล้านบาท จากโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสินเพื่อนำมาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน
สำหรับมาฟื้นฟูกิจการเพื่อประกอบอาชีพ และดำเนินธุรกิจได้ต่อไป ภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567
และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประสบอุทกภัยได้รับสินเชื่อตามโครงการดังกล่าวรวมถึงโครงการสินเชื่ออื่น ๆ จากสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอรวมถึงสร้างความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน บสย. ได้จัดทำโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ฟื้นฟู No One Left Behind วงเงินค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปว่าจากมาตรการที่กระทรวงการคลังร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 8 แห่ง ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วนในตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มีประชาชนที่ประสบอุทกภัย ได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 8 แห่ง เป็นจำนวนมากกว่า 740,000 ราย
รวมยอดหนี้มากกว่า 94,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินมาตรการด้านการเงินในระยะต่อไปจะเป็นการเน้นการเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของการฟื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่ประชาชนสามารถ กลับมามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน
กระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญ ในการดูแลพี่น้องทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ โดยจะผลักดันนโยบายรัฐบาลต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สามารถดูแลคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนพร้อมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
และกำหนดแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยกระทรวงการคลังจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลพี่น้องประชาชนอย่างทันท่วงทีและเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
- เตรียมวงเงินค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคเหนือได้ขยายวงกว้าง และส่งผลกระทบกับประชาชน และผู้ประกอบการจำนวนมาก ที่ผ่านมา บสย. ได้เร่งช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
โดยได้จัดเตรียมวงเงินค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อฟื้นฟูกิจการหลังน้ำท่วม ใน โครงการ SMEs ฟื้นฟู No One Left Behind วงเงิน 1,000 ล้านบาท ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบอุทกภัย สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย.
รวมทั้งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย พร้อมส่งมอบถุงยังชีพ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัย ล่าสุด บสย. ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าและลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
ภายใต้โครงการ บสย. SMEs ฟื้นฟู No One Left Behind มาตรการลูกค้าพักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน และค่าจัดการค้ำประกัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน และมาตรการลูกหนี้ พักชำระค่างวดเป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมจำนวน 1,739 ราย
สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ฟื้นฟู No One Left Behind ค้ำประกันต่อรายตั้งแต่ 1 หมื่น – 2 ล้านบาท อัตราค่าธรรมเนียม 1.25% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก โดย บสย. ยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันตลอดโครงการ
เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินให้กับ SMEs ผู้ประสบภัยอุทกภัย เพื่อเติมทุน เสริมสภาพคล่องให้กับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ กลับมาฟื้นฟูกิจการได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ลูกหนี้ บสย. ที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ตามประกาศดังกล่าว สามารถปรึกษา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และรายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการ ได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่ หรือ ช่องทาง LINE OA TCG First: @tcgfirst และ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :นายกฯ แพทองธาร ร่วมคลังสัญจร 1 ธ.ค.นี้ ชูมาตรการฟื้นเศรษฐกิจเต็มสูบ