IMF ประเมินลดคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียปี 65 เหลือ 4.9% ชี้มีแนวโน้มเผชิญภาวะ Stagflation อัตราเงินเฟ้อพุ่ง!



  • ชี้สงครามยูเครน-รัสเซีย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่ง การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน มีผลทำให้เศรษฐกิจเอเชียเผชิญกับความไม่แน่นอน
  • เผยอัตราเงินเฟ้อในเอเชียเริ่มดีดตัวขึ้นนับตั้งแต่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง พร้อมสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
  • ย้ำเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง จะสร้างความท้าทายให้กับบรรดาธนาคารกลางในเอเชีย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียว่า จะขยายตัวเพียง 4.9% ในปี 2565 ซึ่งลดลง 0.5% จากตัวเลขคาดการณ์เมื่อเดือน ม.ค.2565 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มเผชิญปัญหา Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง และเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้สงครามความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย รวมทั้งการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเอเชียเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน IMF ยังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อในเอเชียจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.4% ในปี 2565 โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือน ม.ค. อีกด้วย

นางแอน-มารี กูลด์-วอล์ฟ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายกิจการเอเชียแปซิฟิกของ IMF กล่าวว่า แม้ว่าการค้าและการเงินของเอเชียได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในวงจำกัด แต่เศรษฐกิจในภูมิภาคแห่งนี้อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตสงครามดังกล่าวผ่านทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น  รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้าของเอเชีย

นางกูลด์-วอล์ฟ กล่าวต่อว่า อัตราเงินเฟ้อในเอเชียเริ่มดีดตัวขึ้นนับตั้งแต่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง และสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาค นอกจากนี้ภูมิภาคเอเชียยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะ Stagflation ซึ่งเป็นภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง และอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น

ทั้งนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง จะสร้างความท้าทายให้กับบรรดาธนาคารกลางในเอเชีย เนื่องจากหนี้สินในรูปสกุลเงินดอลลาร์ของเอเชียนั้นมีมูลค่ามหาศาล

“สงครามในยูเครนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมทั้งการที่เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และการล็อกดาวน์เมืองสำคัญของจีนที่ยืดเยื้อยาวนาน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย” นางกูลด์-วอล์ฟ กล่าว