รัฐบาล กระชับสัมพันธ์ นักธุรกิจไทย- อเมริกัน มั่นใจปีหน้าการค้าไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว

นักธุรกิจไทย-เมริกัน
รัฐบาล กระชับสัมพันธ์ นักธุรกิจไทย- อเมริกัน มั่นใจปีหน้าการค้าไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว


รัฐบาล กระชับสัมพันธ์ นักธุรกิจ ไทย- อเมริกัน มั่นใจปีหน้าการค้าไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว ในปี 2566 มีมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น 70% จากปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสหรัฐฯ

นายกฯแพทองธารหารือ US-APEC Business Coalition สานต่อความร่วมมืออันเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ไทย-สหรัฐ พร้อมยกระดับการลงทุนร่วมกันมากขึ้นโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมั่นใจปีต่อไปไม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่ไทย-สหรัฐค้าขายกันกว่า 5 แสนล้านบาท  

วันพฤหัสที่ 14 พฤศจิกายน 2567 เวลา 11.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงลิมา ประเทศเปรู ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 12 ชม.) ณ โรงแรมSwissotel Lima สาธารณรัฐเปรู นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการหารือกับ US-APEC Business Coalition โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้บริหารUS-APEC Business Coalition ที่เป็นพันธมิตรอันแน่นแฟ้นกับประเทศไทย และยังเป็นเจ้าภาพในการหารือในวันนี้ ที่ผ่านมาได้มีการหารือกับฝ่ายสหรัฐอเมริกาหลายครั้งทั้งจากฝ่ายบริหารและภาคเอกชน

โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องของนโยบาย การเจรจาและการมีส่วนร่วมกับธุรกิจยังคงมีความสำคัญมาก และขอเน้นย้ำว่า “โอกาส” ”ความพร้อม“ และ ”ความเชื่อมั่น“ นั้นประเทศไทย เปิดกว้างสำหรับธุรกิจและการลงทุนและพร้อมมุ่งขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจร่วมกันกับสหรัฐฯ  

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและสหรัฐฯ โดยการลงทุนของสหรัฐฯในไทยนั้น ได้สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ และย้ำถึงการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ “ต่อเนื่อง” ในการส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในสหรัฐฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์การค้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกทั้งมีความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกับภาคธุรกิจสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาความร่วมมือที่เกิดประโยชน์ร่วมกันในอนาคต  

รัฐบาลเน้นนโยบายเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์และเป็นมิตรต่อการลงทุน

นอกจากนี้ รัฐบาลได้เน้นนโยบายเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์และเป็นมิตรต่อการลงทุน พร้อมเปิดกว้างในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในกรอบความร่วมมือทวิภาคีและภูมิภาค เช่น APEC และIPEF ที่พร้อมในการมุ่งมั่น เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนโดยรัฐบาลไทย ได้เสนอสิทธิพิเศษทางด้านธุรกิจ เช่น การยกเว้นวีซ่าและวีซ่าพำนักระยะยาวให้กับนักธุรกิจ เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลาง ด้านเกษตรอัจฉริยะ เศรษฐกิจดิจิทัล และการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันในระดับโลก รวมถึงสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานสะอาด อีกด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังชูวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมการค้าเสรีและข้อตกลง FTA ที่พร้อมขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมในกรอบ OECD ซึ่งจะยกระดับมาตรฐานความโปร่งใสและต่อต้านการทุจริตเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจไทยอีกด้วย  

ปี 2566 มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 70% จากปีก่อน

“เราเน้นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและสหรัฐฯ โดยชี้ให้เห็นว่าการลงทุนของสหรัฐฯ ในไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2566 มีมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น70% จากปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสหรัฐฯ ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทย รัฐบาลไทย ยังมุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีทางการแพทย์ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และไทยยังส่งเสริมความร่วมมือด้านเซมิคอนดักเตอร์ สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและพัฒนาทักษะบุคลากร รวมทั้งการมุ่งมั่นส่งเสริมผู้ประกอบการSMEs ไทย ขับเคลี่อนการศึกษา และพัฒนาฝีมีอแรงงานเพื่อเตรียมรับอุตสาหกรรมอนาคตด้วย ”  

ไทย สหรัฐฯ มีความร่วมมือการลงทุนระหว่างกันกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ก่อนการเดินทางเข้าร่วมประชุมเอเปค ที่เปรูได้มีโอกาสเดินทางไป ที่นครลอสแอนเจลิสและพบหารือภาคเอกชนสหรัฐฯ โดยที่ผ่านมา ไทย สหรัฐฯ มีความร่วมมือการลงทุนระหว่างกันกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯหรือกว่า 5 แสนล้านบาท และสร้างงานกว่า 70,000 ตำแหน่ง

ทั้งนี้รัฐบาลไทยตั้งเป้าส่งเสริมการลงทุนของสหรัฐฯ ในไทยและกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจตลอดไป นายกรัฐมตรีกล่าวทิ้งท้าย

“อนึ่ง U.S.-APEC Business Coalition เป็นองค์กรพันธมิตรประกอบด้วย

(1) National Center for APEC (NCAPEC) ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจที่เป็นกระบอกเสียงเชื่อมโยงภาครัฐและภาคธุรกิจสหรัฐฯ สร้างเวทีหารือ เชิงนโยบายกับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อสนับสนุนการค้าเสรี และความร่วมมือระดับภูมิภาค

(2) หอการค้าสหรัฐฯ (U.S. Chamber of Commerce: USCC) เป็นองค์กรภาคธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อสนับสนุนบริษัทสมาชิกในการส่งเสริมนโยบาย กฎระเบียบ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และ

(3) สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S.-ASEAN Business Council: USABC) เป็นองค์กรธุรกิจที่มีสมาชิกเป็นบริษัทสหรัฐฯ ชั้นนำที่ลงทุนหรือดำเนินธุรกิจกับประเทศในอาเซียนโดยมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐมาอย่างยาวนาน”

ทำเนียบรัฐบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : นายกฯ “แพทองธาร” มั่นใจ FTA ไทย- เปรู เสร็จปีหน้า เชื่อเพิ่มการค้าการลงทุนระหว่างกัน