GC ประกาศทิศทางการดำเนินงานปี 65 วางกลยุทธ์ธุรกิจ-ผลิตภัณฑ์ มุ่งสู่ความยั่งยืน พร้อมเปิดดีลซื้อกิจการต่อเนื่อง



วันนี้ (17 ก.พ.65) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ประกาศทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 ว่า บริษัทพร้อมปรับเปลี่ยนองค์กร ให้ตอบโจทย์ธุรกิจเพื่ออนาคต สอดคล้อง 5 เมกะเทรนด์โลก ประกอบด้วย Climate Change & Energy Transition, Demographic Shift, Health & Wellness, Urbanization และ Disruptive Technology ที่มีผลต่อการเติบโต การดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ การแข่งขันทางการค้า การปรับเปลี่ยนทิศทางของภาคอุตสาหกรรมสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ GC มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มุ่งเน้นดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น บรรจุภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์การสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ วัสดุก่อสร้างพลาสติกเชิงวิศวกรรม ซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่รอบตัวสอดรับการแนวคิดแคมเปญสื่อสาร “ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี” เพื่อตอกย้ำภารกิจในการสร้างความมั่นใจว่า ทุกวัตถุดิบที่มาจาก GC ได้รับการพัฒนาให้ดีที่สุด ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ดีกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการที่ดี และดีต่อสิ่งแวดล้อมดีต่อโลก

นายคงกระพัน กล่าวต่อว่า GC มีแผนเดินหน้าธุรกิจแห่งอนาคต ด้วยกลยุทธ์ 3 Steps ประกอบด้วย

1.Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สานต่อสร้างเสริม GC ให้เข้มแข็งทั้งด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพการผลิต พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาดโลกให้มากขึ้น โดยมีความก้าวหน้าโครงการดังนี้ โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ของบริษัทKuraray GC Advanced Material (KGC) ที่ GC ร่วมทุนกับ บริษัท Kuraray และ บริษัท Sumitomo ของประเทศญี่ปุ่น อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T (PA-9T) จำนวน 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) จำนวน 16,000 ตันต่อปี

“นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อรองรับเมกะเทรนด์โลกโดยมี โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (PP) ของบริษัท HMC Polymers และการปรับโครงสร้างธุรกิจ PVC ภายหลัง VNT ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายตลาด PVC ไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)” นายคงกระพัน กล่าว

2.Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ allnexเพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ โดยการปรับองค์กรตั้งหน่วยงานธุรกิจต่างประเทศขึ้น เพื่อต่อยอดการเติบโตของบริษัทมุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในต่างประเทศสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคภายใต้เมกะเทรนด์โลก

3.Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ: ด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) สร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) สอดรับกับเมกะเทรนด์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) และยกระดับคุณภาพชีวิต มุ่งสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ(Together to Net Zero) ตามแผนที่ GC วางไว้

โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพ (Efficiency-driven) การขับเคลื่อนด้วยการบริหารพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ (Portfolio-driven) และการขับเคลื่อนการชดเชยคาร์บอน (Compensation-driven) เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางธุรกิจ

นอกจากนี้ GC ยังได้ Transform องค์กรในหลายๆ ด้าน เพื่อสนับสนุนทิศทางองค์กรและแผนกลยุทธ์ในระยะยาวได้แก่ Digital Transformation, Market Focused Business Transformation, Lean Process and Organization Transformation รวมทั้งปรับองค์กรเพื่อการดำเนินงานด้าน Decarbonization

นายคงกระพัน กล่าวต่อว่า ในปี 65 นี้ บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้วงเงิน 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในเดือน มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นหุ้นกู้ระยาว ประมาณ 10-30 ปี เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน จากก่อนหน้าบริษัทได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันจำนวนรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ เพื่อชำระคืนเงินกู้ และ/หรือ หุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐที่ครบกำหนดในเดือน ก.ย.2565 และ/หรือชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนดและ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับการดำเนินธุรกิจทั่วไปแล้ว ซึ่งก็ถือเป็นจังหวะที่ดี ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ

นอกจากนี้ GC ยังมองหาโอกาสการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจให้หลากหลายขึ้น โดยจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำเป็นหลักตามเทรนด์ของโลก ซึ่งน่าจะได้เห็นความคืบหน้าในการเข้าซื้อกิจการต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แต่คงไม่ใช่ดีลธุรกิจที่มีขนาดเท่ากับการเข้าซื้อกิจการของ allnex บริษัทผู้นำระดับโลกในธุรกิจผลิตภัณฑ์สารเคลือบผิว (Coating Resins) และสารเติมแต่งสำหรับงานอุตสาหกรรม ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อเร็วๆนี้

นายคงกระพัน กล่าวด้วยว่า แม้ปีนี้บริษัทฯ จะมีแผนปิดซ่อมบำรุงในส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานโอเลฟิน ซึ่งจะส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย แต่แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 ก็จะยังมีกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาช่วยหนุน เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) เป็นต้น 

นอกจากนี้ ที่สำคัญยังมีในส่วนรับรู้ผลกำไรจากการเข้าซื้อกิจการของ allnex ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านยูโร และการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) หรือ VNT เข้ามาเสริมผลการดำเนินงานของ GC และกำลังการผลิตของบริษัทให้มีการเติบโตในระยะยาวอีกด้วย

ทั้งนี้สำหรับความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ ในประเทศสหรัฐฯ บริษัทฯ มองว่าเป็นโครงการที่ดี และน่าสนใจลงทุน เนื่องจากสหรัฐฯเป็นฐานการผลิตที่ดี ต้นทุนต่ำ มีตลาดขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูง จึงจำเป็นต้องหาพันธมิตรมาร่วมลงทุน โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่เหมาะสมมาร่วมลงทุน ซึ่งยังไม่มีเป้าหมายว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) เมื่อไหร่ เพราะยังต้องพิจารณาหลายปัจจัย

นอกจากนี้ ในส่วนความคืบหน้าโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท หลังจากที่บริษัท NatureWorks LLC (“NatureWorks”) ตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด (PLA) นั้น ขณะนี้เป็นไปตามแผนที่บริษัทฯ กำหนดไว้ โดยขณะนี้อยู่ในขบวนการออกแบบโรงงาน และจัดหาซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่

นายคงกระพัน กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 465,128 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 43% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงในปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและการปรับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง และรายการพิเศษอื่น ๆ) ที่55,186 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 93% จากปีก่อน ส่งผลให้ในปี 2564 มีกำไรสุทธิรวม 44,982 ล้านบาท (10.01 บาท/หุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% จากปี 2563 นับเป็นผลการดำเนินงานที่สูงที่สุด