ส.อ.ท. หนุนกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า FTA – EFTA หลังบรรลุการเจรจาสำเร็จ

ส.อ.ท. หนุนกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า FTA - EFTA
ส.อ.ท. หนุนกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า FTA - EFTA หลังบรรลุการเจรจาสำเร็จ


สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความยินดีต่อกระทรวงพาณิชย์ในความสำเร็จต่อการบรรลุการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างประเทศไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) FTA ฉบับนี้ใช้เวลาการเจรจาร่วม 2 ปี นับจากปี 2565

นับว่าเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยมีกับประเทศในยุโรป โดยกลุ่มประเทศ EFTA ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ การเจรจา FTA ฉบับนี้ใช้เวลาการเจรจาร่วม 2 ปี นับจากปี 2565 โดยการเจรจาครอบคลุมประเด็นสำคัญ อาทิ การค้าสินค้า กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มาตรการอุปสรรคเทคนิคต่อการค้า การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา ความร่วมมือด้านเทคนิคและการเสริมสร้างศักยภาพ เป็นต้น

ตลอดการเจรจา ส.อ.ท. ได้ให้ข้อมูลประกอบการเจรจา โดยเฉพาะเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งมีความสำคัญต่อการกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลประโยชน์จากการใช้วัตถุดิบร่วมกันระหว่างสมาชิก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก หนังและผลิตภัณฑ์หนัง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งเยื่อและกระดาษ

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ร่วมหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการเจรจามาโดยตลอด ได้แก่ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ผลสำเร็จของการเจรจา FTA ฉบับนี้ ส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อไทย

ผลสำเร็จของการเจรจา FTA ฉบับนี้ จะส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารที่ไทยจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดหวาน อาหารสำเร็จรูป อาหารสัตว์ ผลไม้เมืองร้อน แป้ง น้ำมันพืช ไก่แปรรูปน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ เส้นก๋วยเตี๋ยว ผักและผลไม้กระป๋อง และน้ำผลไม้ และในส่วนของภาคบริการ ได้แก่ การท่องเที่ยว การเงินโทรคมนาคม การแพทย์และสุขภาพ พลังงานสะอาด และด้านวิชาชีพ

โดยจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่างกันจากมูลค่าการค้าของไทยและ EFTA ที่ปัจจุบัน (เดือนมกราคม-ตุลาคม 2567) มีมูลค่ากว่า 10,293.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าการส่งออก3,787.97 ล้านดอลลาร์ และมูลค่าการนำเข้า 6,505.56 ล้านดอลลาร์ (ที่มา: รายงานข้อมูลสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยกระทรวงพาณิชย์) 

ความก้าวหน้าของการเจรจา EFTA ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลไทยและกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งเป็นการตอกย้ำถึงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อนำไปสู่การเจรจาที่สัมฤทธิ์ผล ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการค้าการลงทุน และภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง ส.อ.ท. เชื่อมั่นว่า นอกจากความสำเร็จของการเจรจาเปิดเสรีด้านการค้าสินค้าและบริการแล้ว การบรรลุความตกลงนี้จะสามารถเป็นกลไกสำคัญในการนำไปสู่ความร่วมมือกับกลุ่มประเทศยุโรป เพื่อพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยและยกระดับมาตรฐานสินค้าไทย และไปสู่การเจรจา FTA ไทย-อียู ที่สำเร็จในอนาคต

คาดจะมีการลงนามสมาชิก EFTA ในช่วงเดือนมกราคม 2568

ภายหลังการสรุปผลการเจรจา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะนำเสนอผลการเจรจาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ โดยคาดว่าจะมีการลงนามร่วมกับกลุ่มประเทศสมาชิกEFTA ในช่วงเดือนมกราคม 2568 เพื่อให้ความตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป และในส่วนของภาคเอกชนไทยก็จะสามารถติดตามความคืบหน้าและแนวทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงฉบับนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจและขยายโอกาสในการค้าระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะผู้แทนภาคเอกชนด้านอุตสาหกรรม ขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้การเจรจา FTA ไทย-EFTA สำเร็จลุล่วง โดย ส.อ.ท. พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป

การทรวงพาณิชย์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “พิชัย” เปิดงาน GCNT Forum 2567 ประกาศความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟตา ดันเศรษฐกิจ