

อย. สหรัฐฯอนุมัติ ยาลดน้ำหนัก Zepbound ของ Eli Lilly สำหรับการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบอุดกั้นในผู้ป่วยโรคอ้วนระดับปานกลางถึงรุนแรง
ยานี้เป็นการฉีดรายสัปดาห์ตัวแรกที่ได้รับการรับรองในภาวะดังกล่าว การตัดสินใจนี้อาจช่วยขยายการใช้ Zepbound และเพิ่มโอกาสการคุ้มครองจากประกันสุขภาพในอนาคต
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ (FDA) ได้อนุมัติยา Zepbound ของบริษัท Eli Lilly สำหรับการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบอุดกั้น (OSA) ในผู้ป่วยโรคอ้วนระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยยานี้เป็นการฉีดรายสัปดาห์ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับภาวะดังกล่าว พร้อมคำแนะนำให้ใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ภาวะ OSA เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคอ้วน Eli Lilly ประเมินว่ามีผู้ป่วยในสหรัฐฯ ประมาณ 80 ล้านคนที่เผชิญกับภาวะนี้ โดยกว่า 20 ล้านคนมีอาการในระดับปานกลางถึงรุนแรง แต่มีถึง 85% ของผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย
การตัดสินใจของ FDA อ้างอิงจากผลการทดลองทางคลินิกที่แสดงให้เห็นว่า Zepbound ช่วยลดความรุนแรงของอาการได้อย่างมีนัยสำคัญหลังจากใช้ยาเป็นเวลา 1 ปี ผู้ป่วยที่ได้รับยาขนาดสูงสุดกว่า 43%-51.5% มีอาการดีขึ้นจนถึงขั้น “หายจากโรค” โดยผลลัพธ์นี้วัดจากดัชนีการประเมินการหายใจขณะหลับ (AHI) ซึ่งใช้วิเคราะห์ความรุนแรงของโรคและประสิทธิภาพการรักษา นอกจากนี้ยังพบว่า Zepbound มีประสิทธิภาพทั้งในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (PAP) และกลุ่มที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือดังกล่าว
การอนุมัติครั้งนี้ช่วยขยายการใช้ Zepbound จากเดิมที่ใช้รักษาโรคอ้วนซึ่งเข้าสู่ตลาดเมื่อปีที่แล้ว โดย Eli Lilly คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายยาสำหรับรักษาภาวะ OSA ได้ในช่วงต้นปีหน้า การตัดสินใจของ FDA ยังอาจเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่ครอบคลุมโดยประกันสุขภาพมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันยังไม่รวมถึงยาลดน้ำหนักหลายชนิด รวมทั้ง Zepbound
Julie Flygare ประธานองค์กร Project Sleep กล่าวว่า ภาวะ OSA มักถูกมองข้ามว่าเป็นเพียงปัญหาการกรน แต่แท้จริงแล้วอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลว เธอหวังว่าการอนุมัติ Zepbound จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ป่วยและแพทย์พูดคุยถึงทางเลือกการรักษาที่เหมาะสม และนำไปสู่สุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว
Eli Lilly ยังมีแผนศึกษาประสิทธิภาพของ Zepbound ในการรักษาภาวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น โรคไขมันพอกตับ ซึ่งอาจขยายขอบเขตการใช้ยาในอนาคต ขณะที่การอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ป่วย OSA และอาจเปลี่ยนมาตรฐานการรักษาในอนาคต