EIC คาด กนง. คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ในช่วงที่เหลือของปีนี้



  • เชื่อจะมีการผ่อนคลายเพิ่มเติมผ่านเครื่องมือนโยบายด้านอื่น ๆ
  • เศรษฐกิจไทยปี 2020 มีแนวโน้มหดตัวที่ -7.8%
  • การลงทุนภาคเอกชนก็ถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 4.2%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน, Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จากที่กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ต่อปี พร้อมทั้งประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้หดตัว -7.8% และจะกลับมาขยายตัวที่ 3.6% ในปีหน้า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 23 กันยายน 2020 กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ต่อปี โดย กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะหดตัวน้อยกว่าที่ประมาณการไว้เดิม แต่ในระยะต่อไปเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ในการ กลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของ COVD-19 โดยรายละเอียดมีดังนี้

  • เศรษฐกิจไทยปี 2020 มีแนวโน้มหดตัวที่ -7.8% น้อยลงจากประมาณการเดิมเล็กน้อยที่ -8.1% โดย กนง. ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวลดลงที่ -8.2% (จากเดิมหดตัวที่ -10.3%) และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะอยู่ที่ 6.7 ล้านคน ปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 8 ล้านคน สำหรับอุปสงค์ภายในประเทศ การบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับดีขึ้นบ้าง โดยการบริโภคภาคเอกชน
  • หดตัวลดลงมาอยู่ที่ -3.5% (จากเดิมหดตัวที่ -3.6%) และการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวลดลงอยู่ที่ 
  • -11.4% (จากเดิมหดตัวที่ -13%) สำหรับการลงทุนภาครัฐปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากมาอยู่ที่ 8.8% (จากเดิมที่ 5.8%)
  • อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2020 ติดลบน้อยลงมาอยู่ที่ -0.9% (จากประมาณการเดิมหดตัวที่ -1.7%) 
  • จากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่ขยายตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 โดยคาดการณ์ค่าเฉลี่ยราคาน้ํามันดิบดูไบในปี 2020 ถูกปรับเพิ่มขึ้นจาก 35.1 มาอยู่ที่ 41.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานถูกปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันมาอยู่ที่ 0.3% (จากเดิม 0.0%)
  • ระบบการเงินยังมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะเปราะบางมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ธนาคารพาณิชย์มีระดับ เงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง แต่ในระยะข้างหน้าต้องเตรียมรับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่แน่นอน และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจและครัวเรือนที่ลดลง นอกจากนี้ กนง. ให้ความสำคัญต่อการเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ และควรเร่งรัดการให้สินเชื่อผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ตรงจุดและทันการณ์

เศรษฐกิจไทยในปี 2021 มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าประมาณการครั้งก่อน แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มกลับมาอยู่ที่ขอบล่างของกรอบเป้าหมายได้ โดย กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2021 จะขยายตัวที่ 3.6% (ปรับลดลงจากประมาณการณ์เดิมที่ 5.0%) โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดมาอยู่ที่ 9 ล้านคน (จากเดิม 16.2 ล้านคน) ซึ่งเป็นผลจากการกลับมาแพร่ระบาดของ COVID-19 ในต่างประเทศ สำหรับอุปสงค์ภายในประเทศก็มีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้นเช่นกัน โดย ธปท. ปรับลดการบริโภคภาคเอกชนมาอยู่ที่ 2.0% (จากเดิมที่ 2.5%) ตามตลาดแรงงานที่ยังคงอ่อนแอ การจ้างงานและรายได้ที่ยังคงเปราะบางและจะใช้เวลาฟื้นตัวนาน สำหรับ

การลงทุนภาคเอกชนก็ถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 4.2% (จากเดิม 5.6%) ส่วนค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2021 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ขอบล่างของกรอบเป้าหมาย 1.0% (จากประมาณการเดิมที่ 0.9% ) ตามการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

กนง. ประเมินว่าสภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูงแต่ยังกระจายตัวไม่ทั่วถึง และมีความกังวลต่อเงินบาทที่อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทรงตัวในระดับต่ำ ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาล (corpoate spread) เริ่มปรับลดลงบ้างในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี ด้านสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวน้อยลง โดยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการสินเชื่อของภาครัฐและการเลื่อนกำหนดชำระหนี้ โดย กนง. เห็นว่าสภาพคล่องโดยรวมในระบบการเงินยังอยู่ในระดับสูง แต่ต้องเร่งดำเนินการให้กระจายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น ส่วนค่าเงินบาทเทียบกับทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินสกุลภูมิภาคส่วนใหญ่ ปรับอ่อนค่าลงนับจากการประชุมครั้งก่อน แต่ กนง. ยังกังวลว่าหากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประเมินความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม